Last Romeo Hohyun
" โอ้ โรมิโอ โรมิโอ ใยท่านเป็นโรมิโอ ตัดขาดจากบิดา
เปลี่ยนนามท่านเถิด หรือถ้าทำไม่ได้เพียงปฏิญญารัก ข้าจะเลิกเป็นคาปุเล็ต "
" นามท่านผู้นั้นซึ่งเป็นคู่อริ ท่านเป็นตัวท่านหาใช่ปรปักษ์ไม่
ส่วนใดล่ะเป็นมอนตะคิว ไม่ว่าหัตถ์,บาท แขน,ใบหน้า,ฟันหรืออวัยวะใดที่เป็นของบุรุษ โอ ใช้นามอื่นเป็นไร
นามนั้นสำคัญไฉนที่เราเรียกกุหลาบนี้
แม้เรียกว่าอย่างอื่นก็หอมระรื่นอยู่เหมือนกัน โรมิโอก็ฉันนั้น
แม้นามท่านมิใช่โรมิโอท่านก็งดงามสมชาย โดยไม่ใช้นามนั้น โรมิโอ ทิ้งนามนั้นเถิด
ทิ้งเหลือเพียงตัวท่านแล้วรับข้าไปทั้งกายา "
“โรมิโอ โรมิโอ”
.
.
.
“มินโฮ อปป้า”
เสียงแหลมใสเหวดังขึ้นเพื่อปลุกให้เจ้าของชื่อได้รู้สึกตัว
“ทำไมโอปป้าไม่พูดต่อบทเฟยเฟยล่ะ
เค้ารอตั้งนานแล้วนะ”
เด็กหญิงตัวเล็กอายุประมาณแปดขวบ
ยืนกอดอกอยู่บนเก้าอี้ที่สูงกว่าเจ้าตัวเกือบถึงคอ ใบหน้างอง้ำแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจกับอีกฝ่ายเท่าไหร่
แต่กระนั้นก็ยังดูน่ารักน่าเอ็นดูสมวัย
หน้ากลมๆเชิดขึ้นแต่ก็ยังมิวายชำเลืองมองคนที่ยืนอยู่บนพื้นด้านล่าง เมื่อเห็นว่าโอปป้าทำหน้าแบบสำนึกผิด ภายในใจก็ยิ้มดีใจ
แต่ยังคงรักษาฟอร์มไว้
“เด็กๆ ขนมกับน้ำหวานมาแล้วจ๊ะ”
ร่างเพรียวระหงที่มาพร้อมกับถาดใส่เค้ก
และน้ำหวานสีแดง เป็นผู้ช่วยชีวิตมินโฮไว้ในตอนนี้ เด็กหญิงคู่กรณีเปลี่ยนอารมณ์ทันทีเมื่อเห็นคัพเค้กน่ารักตรงหน้า แขนสั้นๆท้าวลงกับโต๊ะ
ตากลมจับจ้องคล้ายสะกดให้ขนมลอยมาเข้าปาก
นิ้วเล็กจิ้มลงบนเค้กถ้วยนึงพลางส่งนิ้วนั้นเข้าปากเพื่อลิ้มชิมรสหวานของขนมที่แสนโปรดปราน
“เฟยเฟยเอาชิ้นนี้”
“ได้จ๊ะ
แต่หนูต้องลงมานั่งกินดีๆนะ”
เด็กหญิงกระโดดลงจากเก้าอี้อย่างไม่กลัวตัวเองจะเจ็บ กระโปรงชมพูฟูฟ่องระพื้น
ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นมาชูมือทั้งสองขึ้นลีลาปานนักยิมนาสติกทีมชาติก็ไม่ปาน
“อ๊ะ
นายเอาชิ้นนี้”
มือเล็กหยิบคัพเค้กอีกอันให้เด็กชายตัวเล็กที่มายืนเกาะขอบโต๊ะแต่เอื้อมไม่ถึงขนมสักที
มินโฮยืนดูการแบ่งปันของเด็กหญิงชายทั้งสอง
ใช่ว่าตัวเองไม่อยากกินแต่เขารอให้คนอื่นเลือกก่อน
ใช่ว่าจะเป็นเด็กดีมากมายแต่เพราะความเคยชินกับคำสอนที่ว่าเป็นพี่ต้องให้น้องกินก่อนน้องจะได้โตทันกัน
เพราะเป็นพี่ใหญ่และกลัวน้องไม่โตมินโฮจึงกินทีหลัง
“เหลือแค่ของนายกับพี่แล้วล่ะ”
คนที่แทนตัวเองว่าพี่เดินเข้ามาขนาบข้างมินโฮพร้อมหอบสมุดภาพนิทานขนาดใหญ่ไว้ในอ้อมกอด บทประพันธ์เรื่องดังของเชคสเปียร์ ที่พวกเขาทั้งสี่คนกำลังสมมุติบทบาทอยู่ในตอนนี้นั่นเอง
“พี่ให้มินโฮเลือกก่อน”
มินโฮหันไปยิ้มตอบแทนน้ำใจของคนข้างๆก่อนเดินเข้าไปเลือกขนมสองชิ้นที่เหลือ
หญิงสาวยืนมองภาพน่ารักๆของเด็กทั้งสี่คนที่ผลัดดันชิมขนมของกันและกัน ทั้งที่มันก็รสชาติเดียวกันแท้ๆ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะหุบลง
คฤหาสน์หลังใหญ่หลังนี้มีเพียงแค่ปีละสองสามครั้งเท่านั้นที่จะไม่เงียบเหงา ลูกๆของเพื่อนสามีช่วยสร้างสีสันให้กับคฤหาสน์หลังนี้ได้มากทีเดียว โดยเฉพาะเด็กหญิงช่างพูดช่างเจรจานั่น เพื่อนรักของสามีมาหาพร้อมกับพาลูกๆมาด้วยในทุกครั้ง
หล่อนชื่นชมเขาที่เลี้ยงลูกคนเดียวพร้อมกับรับภาระงานอันหนักอึ้งไว้ได้โดยที่ลูกๆทั้งสองยังเป็นเด็กน่ารัก
การมาของเขาทุกครั้งทำให้สามีหล่อนยอมหันหลังให้งานที่กองสุมกันพะเนินเทินทึกได้
เหมือนกับเป็นเวลาการพักผ่อนจริงๆของทุกคน
เรื่องราวที่ผ่านมาในระหว่างที่ห่างกันไปประกอบหน้าที่การงานของตน ทำให้เพื่อนรักคุยกันออกรสออกชาด เสียงหัวเราะที่ดังขึ้น
เหมือนกับว่าทั้งสองกลับเข้าสู่การเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง
หญิงสาวหันหลังให้กับเสียงหัวเราะและเสียงแหลมเจี๊บวจ๊าวของเด็กๆเดินเข้าครัวไปเตรียมอาหารสำหรับโอกาสพิเศษนี้
“เฮ้ย
พยอลรู อย่า…….. อัลมอนนนนนนนนด์”
เด็กชายตะโกนเสียงหลงเมื่อเจ้าสัตว์สี่เท้าหางพวงกระโดดออกจากอ้อมแขน
นิ้วเล็กชี้หน้าเป็นการคาดโทษสุนัขสีน้ำตาลเข้มขาสั้นของตัวเองโทษฐานที่ทำให้เจ้าอัลมอนด์กระรอกสุดรักตกใจจนกระโดดหนีไป
ขาเล็กวิ่งตามทางที่กระรอกสีน้ำตาลอ่อนวิ่งไปตามหลังด้วยพยอลรูผู้ต้องหาในคดีนี้
“ถ้าตามมาอีกเย็นนี้อดข้าว”
ขาสั้นๆของเจ้าพยอลรูหยุดลงเหมือนรู้โทษฐานของคำนั้นดี
หรือเพราะขี้เกียจพาร่างอุ้ยอ้ายวิ่งตามเจ้านายตัวเล็กก็ไม่รู้
ขาสั้นทั้งสี่พาร่างอวบอ้วนไปนอนหลบแดดใต้ร่มไม้ปล่อยเจ้านายให้วิ่งไกลจนลับสายตาไป
เด็กชายวิ่งมาจนถึงกำแพงสูงที่ต้องเงยจนหัวตั้งจึงจะเห็นสันที่กั้นระหว่างตัวคฤหาสน์หลังใหญ่กับวนสาธารณะแห่งนี้ไว้
ตาใสเหลือบมองไปรอบๆเมื่อหางพวงๆของเจ้าอัลมอนด์ซึ่งมักเด่นชัดกว่าตัวมันเองเสียอีก
แต่ไม่ทันแล้วเจ้ากระรอกตัวน้อยเหยียบอยู่บนสันกำแพงสุงซะแล้ว
หางพวงๆส่ายไปมาเด่นชัด เขาควรจะทำยังไงดี
แม้จะเก่งเรื่องการปีนป่ายแต่กำแพงสูงขนาดนั้นก็ไม่ไหวหรอกนะ
คิ้วเล็กขมวดเป็นปม
หัวสมองคิดหาวิธีการต่างๆที่จะพาเจ้าอัลมอนด์ขี้ตื่นกลับมาหาเขาให้ได้
พลันสายตาเหลือบไปเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆกับที่ตัวเองยืนอยู่ คิ้วที่ผูกเป็นโบว์เริ่มคลาย
ปรากฏเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาแทน
มีช่องโหว่ตรงกำแพงขนาดใหญ่ทีเดียว
ใหญ่พอที่ตัวเล็กๆอย่างเขาจะลอดเข้าไปได้สบายๆเชียวล่ะ
ไม่รอช้าเด็กชายรีบพาตัวเล็กๆของตัวเขาเองรุกล้ำเข้าไปในเขตหวงห้ามทันที
โหหห เด็กชายอดตกตะลึงกับความใหญ่โตของคฤหาสน์ไม่ได้
มองภายนอกว่าใหญ่แล้วข้างในยิ่งกว่าอีก
แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาชื่นชมความงามบ้านของคนอื่นหรอกนะ เจ้าอัลมอนด์วิ่งส่ายหางไปทางตัวอาคารแล้ว เขาต้องรีบไปตามจับตัวมันมาให้ได้ก่อนที่จะมีใครมาเห็นเขาเข้า
หลังจากที่เพื่อนจากต่างเมืองกลับไปในวันนั้น
เกือบอาทิตย์แล้วที่คฤหาสน์หลังใหญ่กลับไปสู่ความเงียบสงบอย่างที่เคยเป็นอยู่ บ้านหลังใหญ่เหลือเพียงคุณนายผู้หญิง
ลูกชายสองคนและบรรดาบริวารในบ้าน ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ชีวิตของมินโฮคุณชายคนโตของบ้านนอกจากวันที่ไปโรงเรียนแล้ว
เมื่ออยู่ที่บ้านมินโฮก็ไม่มีเพื่อนเล่นเลย คงเป็นเพราะความใหญ่โตของบ้านละมังที่ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนในบ้านนี้แปลกแยกไปจากบ้านอื่น
มินโฮชอบอยู่ในห้องนอนของตัวเองมากกว่าออกมาข้างนอกเมื่อไม่ได้ไปโรงเรียน มีบางทีที่ไปเล่นกับน้องชายแต่ก็ไม่บ่อยนัก
คงเป็นเพราะอายุที่ต่างกันถึงสี่ปี ถึงทำให้ช่วงวัยแต่ต่างกัน
ส่วนใหญ่แม่จะชอบพาเขากับน้องชายไปเดินเล่นตามห้างบ้างตามตลาดบ้าง แต่หลังๆมานี่ตัวมินโฮเองปฏิเสธไม่ไปด้วยตลอด มิโฮไม่ชอบคนเยอะ สู้สร้างโลกส่วนตัว
อ่านหนังสือ วาดรูปในห้องดีกว่า ซึ่งคนเป็นแม่เองก็ไม่ได้ว่าอะไร
แว่นหนาถูกถอดออกมาวางไว้ข้างตัว ทิ้งร่างเล็กๆแผ่หลาลงบนเตียง
วางหนังสือพวกความรู้รอบตัวที่เจ้าตัวชอบอ่านไว้บนอกก่อนปิดเปลือกตาลงเพื่อพักผ่อนสายตา
ปิดเทอมปีนี้มินโฮขอพ่อไม่เรียนพิเศษ แต่จะอ่านหนังสือและทำแบบฝึกหัดเอง
เพราะเป็นเด็กที่เชื่อฟังมาตลอดคนเป็นพ่อเลยให้ตามที่ลูกชายขอ
ที่มินโฮทำจึงเพียงแค่ไปหาซื้อหนังสือที่จำเป็นสำหรับการเตรียมตัวเรียนในชั้นต่อไป
เปิดเทอมนี้มินโฮจะขึ้นเกรดหกแล้ว
อีกปีเดียวเท่านั้นสำหรับชีวิตเด็กประถม
สายลมอ่อนๆที่พัดเข้ามาทางระเบียงทำให้เด็กชายเคลิ้มๆที่จะหลับ แต่เพราะแรงกะแทกค่อนข้างหนักที่ตกลงมาตรงหน้าอกบางทำให้เจ้าตัวตื่นทันที
สิ่งมีชีวิตสี่ขาที่ยืนด้วยสองขาหลัง
กำลังจ้องมองมาที่มินโฮตาแป๋ว
สองมือที่ประสานกันอยู่ตรงหน้าท้องค่อยๆเลื่อนขึ้นมาจับสิ่งมีชีวิตนั้นไว้
กระรอกนี่นา คุ้นดีแฮะ
“อัลมอนนนนนนนนนนนด์”
ทำได้แค่เพียงตะโกนในใจเท่านั้นแหละ
เด็กชายเห็นต่อหน้าต่อตาว่ากระรอกของตัวเองได้รุกล้ำเข้าไปในตัวคฤหาสน์ผ่านทางระเบียงนั่นแล้ว
ทำไงดีล่ะ แต่ท่าทางเงียบๆแบบนี้คงไม่มีใครอยู่หรอกนะ
เร็วเท่าความคิดตาใสแลซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะปีนต้นไม้ที่มีกิ่งทอดไปทางระเบียงตามกระรอกสุดรักไป
แม้พ่อจะสอนเสมอว่าการบุกรุกที่ของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นสิ่งไม่ดี
แต่เค้าแค่มาตามเจ้าอัลมอนด์กลับนี่นา ไม่ได้มาทำอะไรไม่ดีสักหน่อย
“ฮึบ ถึงสักที”
แต่ทว่า กลับผิดคาดจากที่เขาคิดไว้
มีตากลมโตคู่นึงจ้องมาทางเขาไม่วางตา ในฐานะผู้บุกรุกหลังจากกระโดดลงพื้นระเบียงอย่างปลอดภัยแล้ว ถึงกับก้าวขาไม่ออก โดนจับได้วะแล้ว จะทำยังไงดี คิดสิคิด
“สะ สวัสดี”
การสร้างความเป็นมิตรน่าจะเป็นวิธีที่ดี
แต่หลังจากทักทายออกไปอย่างยากลำบากกลับไม่มีคำตอบรับจากเจ้าของดวงตาคู่โต สายตาคู่นั้นยังจ้องเขม่งมายังแขกที่ไม่ได้เชิญไม่วางตา
“อ่ะ เอ่อ เรามาตามกระรอกเรากลับบ้านน่ะ”
นิ้วเล็กชี้ไปที่สิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งที่นั่งแทะอัลมอนด์สบายใจเฉิบอยู่บนตักเจ้ามนุษย์กบนั่น
หนอย
วิ่งหนีไม่ยอมให้เขาจับแต่กลับไปนั่งอยู่บนตักหมอนี่เนี่ยนะ
มันน่าโมดหชะมัด
“อัลมอนด์มาหาพ่อมาลูก”
“เจ้านี่ชื่ออัลมอนด์เหรอครับ น่ารักดีนะ”
นึกว่าเด็กเหลือกนี่จะพูดไม่เป็นซะอีก
เห็นพูดด้วยตั้งนานก็ไม่ตอบกลับซะที
“เอามันมาให้ชั้น
ชั้นจะได้รีบไป” ยังไงซะเค้าก้เป็นผู้บุกรุก สมองน้อยๆคิดได้ว่าอยู่ที่นานคงไม่ดีแน่ๆ ถ้าเกิดเจ้านี้ตะโกนฟ้องแม่ เขาต้องซวยแน่
ทางที่ดีต้องรีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่อีกฝ่ายจะไหวตัวทันดีกว่า
เด็กชายเดินเข้าไปหาเจ้าของห้องหวังจะอุ้มเอาสัตว์เลี้ยงที่เขาตามมาออกจากตักอีกฝ่าย มือเล็กเอื้อมไปไม่ทันจะถึงตัวเจ้าหางพวง กระรอกน้อยกลับกระโดดหนีไปซะแล้ว
“คุณทำมันตกใจน่ะครับ”
“ยุ่ง”
ถลึงตาใส่เจ้าของห้อง
ก่อนจะไล่จับสัตว์เลี้ยงตัวป่วนไปทั่วห้อง
ห้องกว้างๆกว่าจะจับได้ เล่นเอาเจ้าตัวหอบแรง อัลมอนด์นะอัลมอนด์
“ชั้นไปละนะ ห้ามบอกพ่อแม่นายเด็ดขาด
เข้าใจมั้ย” เด็กชายขู่กำชับเจ้าของห้องก่อนจะกลับไปทางเดิมที่เข้ามา
“เดี๋ยว”
อะไรอีกว่ะ เจ้าหมอนี่
เขาแค่มาเอากระรอกจริงๆ ไม่ได้มาทำอะไรไม่ดีสักหน่อย เห็นอย่างนี้เนี่ย
พ่อก็สอนมาดีนะจะบอกให้
“อะไร”
“คุณทำห้องผมเลอะ ถ้าแม่มาเห็นแม่ต้องบ่นแน่”
คนที่กำลังจะไป
หันกลับไปมองพื้นห้อง
เศษดินเศษหญ้าที่ติดตัวเขามากระจายอยู่เต็มพื้น คงไม่ดีแน่หากปล่อยไว้
พ่อบอกว่าเป็นลูกผู้ชายต้องมีความรับผิดชอบ ดังนั้นเขาจะรับผิดชอบมันเอง
“อ่ะ ฝากหน่อย”
เด็กชายยัดเจ้าอัลมอนด์ใส่ในมือเจ้าของห้อง ก่อนจะถอดเสื้อตัวนอกออก ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะทักท้วงอะไร
“ห้องน้ำนายอยู่ไหน”
เจ้าของห้องรีบบอกไปตามความประสงค์ของผู้มาเยือน
ทั้งที่ยังไม่ทราบความต้องการที่แน่ชัดของอีกฝ่าย แผ่นหลังเล็กหายเข้าไปในห้องน้ำ
ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับผ้าเปียกๆในมือ
เด็กชายใช้เสื้อชุบน้ำทำความสะอาดห้องให้กับเจ้าของห้องที่ดูเหมือนยังตั้งตัวไม่ถูก
“อะ เอ่อ”
มินโฮเปล่งเสียงเมื่อเห็นว่าความเงียบนานๆมันทำให้รู้สึกอึดอัด
“นายชื่ออะไรเหรอครับ”
“จงฮยอน”
ตอบกลับมาทันทีทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่
“ผมชื่อมินโฮครับ
ยินดีที่ได้รู้จัก”
“นายเรียนอยู่ชั้นไหน
อายุเท่าไรเหรอครับ
เผื่อผมจะได้เรียกถูก”
“จะขึ้นเกรดหก อายุสิบสอง”
“ชั้นเดียวกับผมเลยครับ
แต่ผมอายุสิบขวบ”
“ย๊า
นายอ่อนกว่าตั้งสองปี
มาเรียนพร้อมกันได้ไงเนี่ย”
อยู่ๆก็หันมาเหวใส่เล่นเอาคนช่างถามตกใจหมด
ดูซิเจ้ากระรอกในมือก็ยังดิ้นขลุกขลัก มันใช่ความผิดของเขารึเปล่าล่ะที่เขาเรียนเร็วน่ะ
“ฟู่ววว เสร็จสักที”
พูดพลางใช้หลังมือปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก
“ห้องนายเรียบร้อยแล้ว
ส่งเจ้าอัลมอนด์มา ชั้นจะได้ไปสักที”
มินโฮยื่นเจ้ากระรอกที่เขาอุ้มอยู่นานส่งคืนให้เจ้าของ
ที่หลังจากรับไปได้ก็จับไว้วะแน่นเพราะกลัวหลุดมือ
จงฮยอนหันหลังกลับไปทางระเบียงที่ตัวเองปีนเข้ามา มินโฮมองตามร่างที่สูงกว่าตัวเองที่กำลังเดินจากไป
“เดี๋ยวครับฮยอง”
คนโดนเรียกหยุดการก้าวเดินก่อนหันกลับมาสีหน้าบ่งบอกถึงความรำคาญอย่างปิดไม่มิด
“วันหลังจงฮยอนฮยองมาเล่นด้วยกันอีกนะฮะ”
คฤหาสน์หลังใหญ่ที่จงฉยอนบุกรุกเข้ามาอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ประตูเข้าออกทางเดิม
และบันไดที่ใช้ปีนไปหาเพื่อนใหม่ที่ตอนนี้ชักจะเป็นเพื่อนสนิทแล้วก็อันเดิม
โชคดีที่จงฮยอนเป็นเด็กจึงทำให้มุดลอดกำแพงเข้ามาได้ง่ายๆ ร่างเล็กๆใช้คววามเร็วบวกกับประโยชน์จากพุ่มไม้ประดับที่มีอยู่ตามทาง วิ่งไปถึงบันไดต้นไม้ได้อย่างง่ายๆ โดยไม่มีใครเห็นสักครั้ง
มินโฮเองก็เหมือนจะรู้ดีทุกครั้งว่าพี่ชายคนี้จะมาเมื่อไหร่
จงฮยอนมักจะเห็นเด็ชายตัวเล็กตาโตที่ท่าทางคุณชายๆจนไม่น่าจะเป็นเพื่อนเล่นกับเขาได้ยืนส่งยิ้มให้อยู่ริมระเบียงเสมอ
ระยะเวลาเกือบตลอดช่วงปิดเทอมทำให้มิตรภาพของเด็กชายทั้งสองพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
สองคนที่ต่างกันสุดขั้วจนไม่นึกว่าจะเข้ากันได้
สำหรับจงฮยอนช่วงปิดเทอมที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเช่นนี้ จะมีเพื่อนเล่นด้วยสักคนก็ไม่เลวเหมือนกัน
แม้มินโฮจะเป็นคุณชายแสนเนี้ยบแต่ก็ตามใจเขาทุกอย่าง
ไม่ว่าเขาจะพาอีกฝ่ายทำอะไรชวนเล่นอะไรฝ่ายนั้นก็เออออห่อหมกด้วยตลอด
จะเสียอย่างคือไม่ยอมออกไปจากห้องเนี่ยแหละ
รวมถึงการที่ทั้งสองคนไม่กล้าออกไปอย่างสง่าผ่าเผยทางประตูเพราะกลัวผู้ใหญ่จับใด้ด้วยแหละ
จึงทำให้ห้องนอนของมินโฮกลายเป็นที่กบดานชั้นดีที่ทุกสิ่งถือว่าเป็นสวรรค์ของจงฮยอนเลยทีเดียว หนังสือการ์ตูนบนชั้นที่สูงท่วมหัวจนต้องต่อเก้าอี้ในการหยิบเล่มบนสุดซึ่งทั่งปิดเทอมนี้ไม่รู้ว่าจงฮยอนเองจะอ่านมันหมดไหม
เกมส์เพลใหม่ๆที่ดูท่าจะใหม่แบบไม่เคยแกะเล่นมาก่อนด้วยซ้ำ และเป็นฝ่ายคนยืมเล่นซะอีกที่ต้องสอนเจ้าของมันเล่น
และที่สำคัญคือขนมขร่อยๆที่ป้าแม่บ้านที่น่าจะรู้เห็นเป็นใจเอามาให้ ทำไมถึงรู้ว่าป้าคนนี้รู้นะเหรอ
ก็ปริมาณขนมที่เพิ่มขึ้นกว่าวันแรกๆนะสิ
แต่ไม่เป็นไรป้าไม่ว่าป้าคงเพราะไม่ใส่ใจละมั้ง
“ฮยองครับ วันนี้เราออกไปเล่นข้างนอกกันเถอะฮะ”
หนังสือการ์ตูนเล่มหนาถูกเลื่อนออกมาจากใบหน้าทันทีที่จับใจความของประโยคนั้นได้
จากคนที่ถือวิสาสะนอนเอกเขกอยู่บนเตียงถึงกับกระเด้งตัวขึ้นมาทันที
“ว่าไงนะ ฉันได้ยินไม่ชัด”
“เราออกไปเล่นข้างนอกกันเถอะครับ”
มินโฮทวนคำเดิมที่พูดออกไปด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
จงฮยอนยกนิ้วก้อยขึ้นมาแคะหูด้วยท่าทีกวนๆเหมือนพี่รุ่นมัธยมข้างบ้านชอบทำก่อนป้ายนิ้วนั้นลงบนผ้าปูที่นอน คงดูสกปรกจนคุณชายมินโฮต้องจ้องไม่วางตา
ช่วยไม่ได้นะมินโฮก็มันเท่ดีนี่นา
“ไหนนายบอกไม่อยากให้แม่เห็น
ร้อยวันพันปีฉันชวนนายก็ไม่เคยออกไป
วันนี้ไม่สบายหรือแม่นายรู้เรื่องของเราแล้ว”
ใจดวงน้อยรู้สึกว่ามันเต้นหนักขึ้นเมื่อคิดว่าตัวเองต้องโดนทำโทษแน่ที่แอบมาเล่นกับลูกเค้า ถูกจับได้ได้ยังไง
ทั้งที่ตอนเข้ามาจงฮยอนก็ดูแล้วว่าไม่น่าจะมีใครเห็น หรือป้าคนที่เอาขนมมาให้
แต่ป้ารู้นานแล้วก้ไม่เห็นว่าอะไรเลยนี่
เพราะขนมที่เพิ่มจึ้นมากจนแม่มินโฮจับได้รึเปล่าก็เลยเค้นถามจากป้า
“ก็ยังไม่อยากให้เห็นเหมือนเดิมแหละครับ”
จงฮยอนรู้สึกหัวใจเต้นช้าลงจังหวะแล้วล่ะ ยังไม่ถูกจับได้สินะ
“ถ้าอย่างนั้นแล้วนายจะออกไปยังไง”
นั่นสินะ
แล้วมินโฮจะออกไปยังไงถ้าให้เดินอย่างสง่าผ่าเผยออกไปทางประตูคงไม่แคล้วโดนจับแม่ซักแน่
“จะให้คุณชายแบบนายมาปีนป่ายแบบฉันคงไม่ไหวหรอกม้างงง”
จงฮยอนล้มตัวลงนอนแผ่ท่าเดิมหนังสือการ์ตูนที่อ่านค้างไว้ถูกหยิบขึ้นมาอ่านต่อ
จงฮยอนเข้าสู่โลกแห่งการต่อสู้ที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ในหนังสือการ์ตูนเล่มหนาไปแล้ว
และปล่อยให้น้องชายคนสนิทครุ่นคิดต่อไป
“ครับ
ไปตามทางที่ฮยองมาแหละครับ”
“เอ้า หันก้นลงมาสิ
หันหน้าออกอย่างนี้นายจะจับได้ไงเล่า”
จงฮยอนที่ยืนกำกับอยู่ด้านล่างส่งเสียงดังไม่ได้อย่างที่ใจอยาก แม้เวลากว่าห้านาทีทีเขาทั้งรอและเชียร์ให้คุณชายลงจากต้นไม้ให้ได้มันจะทำให้เขาหงุดหงิดสักแค่ไหนก็ตาม
“มือซ้ายเหนี่ยวกิ่งนั้นไว้
มองลงมาทางขวาเห็นปุ่มนั้นมั้ย เหยียบมันซะ เฮ้ย มองลงมาด้วยสิ แบบนี้มันจะเหยียบถูกได้ไง”
มินโฮก็ตั้งใจทำตามคำสอนทุกอย่างของจงฮยอน แต่กับการปีนต้นไม้ครั้งแรกในชีวิต มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนี่นา สูงขนาดนี้ไม่รู้จงฮยอนฮยองปีนขึ้นมาหาเขาทุกวันไหวได้ยังไง แม้ไม่อยากมองด้านล่างแค่ไหน แต่ตากลมโตจำต้องมองลงไปตามคำสั่ง
“เอาล่ะ
ทีนี้มองหน้าฉันเอาไว้
แล้วกระโดดลงมาซะ
พี่จะรอรับนายเอง”
ร่างที่ไม่ได้โตไปกว่ามินโฮมากนักอ้าแขนออกรองรับน้องชายคนนี้ตามที่บอก แม้จะไม่เชื่อว่าอีกคนจะรับน้ำหนักเขาได้ แต่เพราะคนที่รออยู่ทำให้มั่นใจ มินโฮจึงสลัดความกลัวนั้นทิ้งไป
มินโฮกระโดดลงไปทันทีที่ใบหน้ารั้นๆด้านล่างพยักหน้าส่งสัญญาณให้เห็น
ตุ๊บ! สำเร็จ
แต่……..
“โอ้ยยย”
มินโฮผุดลุกขึ้นทันทีเมื่อพบว่าตัวเองกระโดดลงมาใส่เบาะมนุษย์เต็มๆ ไม่เห็นต้องรอรับจริงๆเลย พี่ขยับนิดนึงก็ได้นี่
“ขะ ขอโทษครับ ผะ
ผมทำให้ฮยองเจ็บตัว”
เด็กชายตัวเล็กกว่ารีบเข้าไปพยุงให้อีกคนลุกขึ้นพลางปัดฝุ่นตามเนื้อตัวช่วยอีกฝ่าย
“ตัวเปี๊ยก อย่างนายไม่ทำให้ฉันเจ็บได้หรอกน่า ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น”
สีหน้ากังวลกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนเป็นน้องทำให้พี่ชายอย่างจงฮยอนอดเอ็นดูไม่ได้ มือเล็กยกขึ้นยีกลุ่มผมนุ่มของคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาปัดฝุ่นให้เขาจนกลุ่มผมนั้นแตกทรง
มินโฮเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายที่แอบเข้ามาเล่นกับเขาทุกวัน คนที่ทำให้เขาไม่ต้องอ้างว้างเหมือนอย่างทุกๆเทอมที่ผ่านมา คนที่ทำให้เขารู้ว่าการเป็นเด็กมันดียังไง
รอยยิ้มละมุนที่นานๆครั้งจะเห็นถูกจุดขึ้นจากมุมปากเล็กของพี่ชาย
“นึกว่านายจะไม่กล้าซะอีก
ตอนนายกระโดดลงมามันเท่สุดๆไปเลยล่ะ”
เพราะรอยยิ้มละมุนกับดวงตาใสๆนั่น หรือเพราะความตื่นเต้นตอนลงจากต้นไม้ก็ไม่รู้
“อา ทำไมรู้สึกหน้ามันร้อนๆอย่างนี้นะ”
เด็กชายสองคนวิ่งเล่นไปตามสวนกว้างเหมือนไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย
มีหลายครั้งที่คนตัวเล็กว่าล้มลงแต่อีกคนก็มาช่วย
แม้จะวิ่งนำหน้าในบางครั้ง แต่ก็หยุดรอ และสิ่งที่เกิดขึ้นคือเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขจากการโลดแล่นไปในสิ่งแปลกใหม่ของโลกกว้าง
แมลงปอปีกบางบินอย่างอิสระไปตามแรงลม
แสงแดดจ้าแม้จะแยงตาจนทำให้พร่ามัวแต่มันก็ทำให้ปีกของแมลงปอตัวน้อยแข็งแรงขึ้น โลกภายนอกมีอะไรมากมายที่ต้องเรียนรู้ ก้าวก่อนก้าวหลังไม่สำคัญสำคัญที่ว่าจุดหมายอยู่ที่ไหน
“ขอบคุณที่สอนให้แมลงปอตัวนี้ได้รู้จักบิน สัญญาว่า จะใช้ปีกทั้งสองข้างบินไปจนถึงจุดหมายให้ได้
ยังไงคุณจุดหมายช่วยรอผมหน่อยนะครับ”
คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ยังคงตั้งตระหง่านเหมือนเดิมแม้สิ่งแวดล้อมภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็ตาม
ความเงียบสงบเป็นสิ่งที่มีในทุกวันมานับสิบปีแล้ว วันนี้กลับวุ่นวายกว่าที่เคยเป็นหลายเท่านัก บรรดาแม่บ้านนับสิบชีวิตต่างวิ่งวุ่นกับการจัดการสนามหญ้าโล่งๆให้ดูมีสีสันขึ้นตามแบบที่นายหญิงของบ้านวางไว้และแบ่งบางส่วนสำหรับจัดการกับอาหารคาวหวานต่างๆที่จะต้องจัดเตรียมอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ
ทั้งหมดสำหรับต้อนรับการกลับมาของคุณชายคนโตของบ้านที่ไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่สิบสองปีก่อน เพราะเป็นงานปาร์ตี้ที่พิเศษกว่าครั้งไหนๆ นายหญิงจึงต้องลงมาควบคุมเองทุกอย่าง
ร่างเพรียวระหงแต่ทว่าดูภูมิฐานสมวัย
ชะเง้อคอมองลีมูซีนสีดำที่วิ่งเข้ามาตั้งแต่ประตูคฤหาสน์ ทันที่ที่รถจอดเทียบท่า นายหญิงรีบวิ่งไปหาตัวรถอย่างลืมวัย ด้วยใจที่หวังจะพบหน้าลูกชายที่ไม่ได้เจอมาเกือบปี
“นายหวังรีบเปิดประตูให้ลูกชั้นลงมาสิ”
ร่างเล็กๆของหญิงวัยกลางตนชะเง้อคอมองเข้าไปในตัวรถหวังจะเห็นคนที่น่าจะนั่งมาในรถด้วยนอกจากคนขับ
“เอ่อ คุณครับ คุณมินโฮเธอขอลงที่สวนสาธารณะข้างๆก่อน แต่เธอบอกไม่นานเธอจะเดินกลับมาเองครับ”
ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มหุบลงทันทีเมื่อฟังคำบอกเล่าของคนขับรถจบ
“อะไรกันไม่ได้กลับบ้านมาเป็นสิบปี
แทนที่จะมาบ้านก่อนแต่กลับไปเดินเล่น แปลกคนจริงๆ”
“เพราะไม่ได้กลับมานานคุณมินโฮเลยอยากเดินดูบรรยากาศละมั้งคะคุณ”
แม่บ้านคนสนิทพูดขึ้นเพื่อให้ผู้เป็นนายไม่คิดมาก นายหญิงพยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ
แม้จะน้อยใจอยู่บ้างที่ลูกไม่รีบกลับบ้าน
แต่สำหรับงานวันนี้ยังมีสิ่งที่ต้องเตรียมการอีกมาก หล่อนไม่ควรปล่อยเวลาให้เสียเปล่า
“ถ้าใครเห็นตาใหญ่กลับมาแล้ว
มาบอกชั้นด้วยละกัน”
ร่างสูงในชุดเชิ๊ตแขนยาวสีครีมเรียบร้อยที่คลายไทด์และปลดกระดุมเม็ดบนสองเม็ดลงเพราะความร้อนของอากาศ
สิบสองปีที่มินโฮจากบ้านเกิดไปเรียนที่อังกฤษ ชายหนุ่มไม่เคยกลับมาบ้านเลยตั้งแต่จากไป
มีแต่ครอบครัวเท่านั้นที่ไปเยี่ยม ใช่ว่ามินโฮไม่คิดถึงบ้าน แต่เพราะเขาอยากทำสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จไวๆต่างหาก เลยเลือกไม่กลับมาเอง และผลของความพยายามทั้งหมดก็สัมฤทธิ์ผล
ชายหนุ่มกลับมาพร้อมเหรียญทองจากปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจ พ่วงด้วยปริญาตรีด้านกฏหมายอีกหนึ่ง ด้วยวัยเพียงแค่ยี่สิบสองปีเท่านั้น
สิบสองปีผ่านไป ทุกอย่างเปลียนแปลงไปมากโดยเฉพาะพวกสิ่งก่อสร้างต่างๆทำเอามินโฮมึนเลยทีเดียว สวนสาธารณะแห่งนี้ก็เช่นกัน ที่รูปแบบการจัดดูแปลกตาไปมาก เขาหวังเพียงแค่ว่าจุดหมายที่จะไปคงยังอยู่ ขายาวรีบก้าวพาตัวเองไปยังจุดหมายอย่างเร่งรีบ
ซากุระต้นใหญ่ท้ายสวนยังสูงตระหง่านอยู่ที่เดิม ใบหน้าหล่อยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่ามันยังไม่โดนโค่นทิ้งเหมือนหลายๆต้นในสวน ขายาวเร่งสปีดมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อไปให้ถึงต้นไม้นั่นให้เร็วที่สุด พร้อมกับรอยนิ้มที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ
คงจะแปลกตาไม่น้อยกับชายหนุ่มร่างโย่งที่แต่งตัวเรียบร้อยจะมาขุ้ยเขี่ยโคนต้นไม้อย่างนี้
หากมีคนเดินเข้ามาเห็น
แต่มินโฮไม่สนใจหรอก
เพราะถึงแม้อาคารบ้านเรือนจะเพิ่มขึ้นแค่ไหน
แต่เท่าที่เข้ามารู้สึกว่าสวนแห่งนี้ก็ยังไม่ค่อยมีคนเหมือนเดิม
จะมีก็แต่คู่รักที่เข้ามาหาที่เงียบๆพลอดรักกันเท่านั้น คงไม่มีใครมาสนใจเขาหรอก
มือยาวสะอาดสะอ้านแบบลูกคนมีเงินเขี่ยใบไม้ออกตรงจุดที่ตัวเขาเองกับพี่ชายที่เคยเล่นด้วยกันเมื่อนานมาแล้วได้ฝังความทรงจำร่วมกันไว้
“วันนี้แดดแรงชะมัด
ดีหน่อยที่ลมดีว่าม่ะ”
เด็กชายที่นอนหงายเอาสองมือรองหัวเอ่ยอย่างอารมณืดีกับคนที่นั่งข้างๆ
มินโฮมองใบหน้าเปื้อนยิ้มในขณะที่ตาทั้งสองข้างยังหลับพริ้มของจงฮยอน
ก่อนที่มือเล็กๆจะเอื้อมไปปัดแก้มซ้ายของอีกคนแผ่วเบา
คนที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นมาทันทีจากสัมผัสนั่น พลางส่งสายตาเชิงคำถามไปให้
“มีเศษหญ้าติดแก้มฮยองน่ะครับ”
“ระ เหรอ ขอบใจ”
จงฮยอนปัดซ้ำๆเพื่อคลายความจั๊กจี๊จากสัมผัสนั้น
“พรุ่งนี้นายจะบินขึ้นไปบนโน้นแล้วนี่นา น่าอิจฉาชะมัด”
แขนเล็กข้างนึงโบกขึ้นไปในอากาศ
คนข้างๆมองตามปลายนิ้วที่ชี้ขึ้นไปเบื้องบน
น่าอิจฉาเหรอ เขาเหรอน่าอิจฉา
ถ้าให้เลือกได้ มินโฮอยากมาวิ่งเล่นกับพี่ชายคนนี้ทุกวันมากกว่า
“ว่าแต่นายไปกี่วันเหรอ”
มินโฮละสายตาจากเฉดสีฟ้าขาวเบื้องบนก้มลงมองหน้าเจ้าของคำถาม
หัวกลมส่ายไปมาเป็นคำตอบ
“อืมมมม
งั้นเอางี้มั้ยเจ้าเปี๊ยก
เรามาทำไทม์แคปซูนกันเถอะ”
ตาคมสะดุดเข้ากับก้อนดินที่แตกต่างจากที่อื่น
เมื่อเขี่ยใบไม้ออกใบหน้าเรียบนิ่งฉาบด้วยรอยยิ้มทั้งใบหน้า พี่จำได้ใช่มั้ย เวลาสิบสองปีนึกว่าพี่จะลืมมันไปแล้วซะอีก
“อีกสิบปี วันนี้เวลานี้ เรามาขุดมันด้วยกัน โอเคมั้ย”
ใบหน้าที่เปื้อนด้วยเศษดินเศษหญ้าไม่ต่างกับน้องชายอีกคนเท่าไหร่เงยหน้าขึ้นมาหลังจากอัดดินก้อนสุดท้ายให้แน่นเพื่อเจรจากับอีกคน
“เอ่อ
จงฮยอนฮยองจะรู้ได้ยังไงว่ามันเวลาเท่าไหร่ในเมื่อนาฬิกาของผมมันถูกฝังอยู่ในนั้นแล้ว”
จริงสิ คนถูกถามทำครุ่นคิดอยู่พักนึงเขาลืมเรื่องนี้ไปได้ไงนะ
“เป๊าะ”
“นายเห็นดวงอาทิตย์นั่นไหม
พุ่มหญ้าตรงนั้นด้วย
วัดจากพุ่มหญ้าขึ้นมาหาดวงอาทิตย์นิ้วนึงของฉันพอดีเลย”
จงฮยอนทำท่าเอานิ้ววัดระยะ
พลางยกยิ้มด้วยความภาคภูมิใจในความเฉลียวฉลาดของตัวเอง
มินโฮมองตามนิ้วสั้นๆของพี่ชาย
เขาไม่เห็นมันจะพอดีตามที่พี่จงฮยอนบอกเลย
ดวงอาทิตย์ทั้งดวงมันโดนนิ้วอยองบังอยู่ตะหากล่ะ
แต่เมื่อหันไปเห็นรอยยิ้มนั่น เขาก็ไม่อยากขัดอะไร อยองว่าไงผมก็ว่างั้นแหละฮะ
“แต่จงฮยอนฮยองฮะ ผมขอเลื่อนเวลาออกไปเป็นสิบสองปีได้มั้ยฮะ”
จากวันนั้นจนถึงวันนี้นับเป็นเวลาสิบสองปีกับอีกหนึ่งวัน ใช่มินโฮมาไม่ทันเวลานัดไปหนึ่งวัน และจากสภาพพื้นดินที่เห็น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันคงถูกขุดโดยอีกคนไปแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นรอยยิ้มที่มีก็หายไปจากใบหน้าทันที
พี่คงคิดว่าผมลืมแล้วใช่มั้ย ผมขอโทษ
ปากกาสแตนแลสเนื้อดีถูกใช้เป็นอุปกรณ์ขุดดินโดยที่เจ้าของไม่คิดเสียดาย ดีที่จงฮยอนเคยขุดไปก่อนแล้ว ไม่งั้นมินโฮต้องลำบากแน่ เขารีบจนลืมนึกถึงว่ามันต้องขุดหา
จึงไม่ทันหาอุปกรณ์ขุดมาก่อน
ใช้เวลาไม่นานนักชายหนุ่มก็ขุดเจอสิ่งที่ต้องการ
สองมือประคองกล่องเหล็กสนิมเขรอะที่ขนาดไม่ใหญ่นักขึ้นมาจากหลุมพลางปัดเป่าเอาฝุ่นออก
ก่อนเปิดเข้าไปดูความทรงจำที่ซ่อนไว้ภายในนั้น
“เรื่องมากจังว่ะ เออ
สิบสองก็สิบสอง”
เด็กชายตัวโตกว่าต่อว่าน้องชายด้วยท่าทางหงุดหงิดที่ดูไม่จริงจังนัก
มินโฮก้มหน้าลงเพราะกลัวว่าจงฮยอนฮยองจะโกรธเขาที่ขอต่อรอง ก็ในเมื่อเวลาแค่สิบปีเอง มินโฮกลัวตัวเองจะมาไม่ทันน่ะสิ
“เฮ้ยยย พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย
อย่าเพิ่งร้องสิเจ้าเปี๊ยก”
จงฮยอนยกมือขึ้นยีหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู ก็วันนี้มินโฮดูน่ารักเป็นพิเศษเลยนี่นา
“งั้นเอางี้มั้ย
สิบสองปีผ่านไปเรามาแลกของกันโอเค๊”
ลูกอมสองก้อนที่ดูท่าเนื้อหวานๆของมันคงละลายไปตามกาลเวลาและความร้อนที่ระอุใต้ดิน ลูกหินกับหนังสติ๊กครบชุด เลโก้สีแดงน้ำเงินอย่างละชิ้น กับลูกแก้วสีห้าลูก เป็นสิ่งที่จงฮยอนเอาใส่ไว้ในกล่องในตอนนั้น ตอนนี้มันกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของมินโฮตามข้อตกลง แลกกันกับนาฬิกาข้อมือ หนังสือความรู้ทั่วไปเล่มเล็ก และแว่นขาหักที่เกิดจากการกระโดดต้นไม้ในครั้งนั้น
ตอนนี้ของทั้งหมดคงไปอยู่กับเจ้าของคนใหม่แล้วมั้ง
แต่ตอนนี้มีของที่เพิ่มขึ้นมาจากเมื่อสิบสองปีก่อนคือ รูปถ่ายสองรูปที่วางอยู่ก้นกล้อง
รูปโพลารอยสีซีดถูกมินโฮหยิบขึ้นมาพิจารณา
รูปแรกที่หันหน้าขึ้นเป็นรูปของสิ่งของทั้งสามที่เคยเป็นของมินโฮในครั้งอดีต
ซึ่งตอนนี้เป็นของเจ้าของคนใหม่ที่อยู่ในรูปอีกแผ่น
ชายหนุ่มในรูปถ่ายที่ชูสองนิ้ว ยิ้มร่าตอบกลับมาให้มินโฮ ไม่ต้องเดาว่าเป็นใครที่ไหน พี่ชายที่เคยเล่นมาด้วยกันแต่เด็กแน่นอน
ตากลมเหมือนลูกหมากับรอยยิ้มสดใสที่ออกแนวกวนนิดๆ เหมือนกับเมื่อสิบสองปีก่อนเดะ รูปหน้าที่เรียวขึ้นบ่งบอกถึงวัยทีเปลี่ยนไป มินโฮยิ้มตอบคนในภาพ พี่จงฮยอนไม่เปลี่ยนไปเลย
แถมยังน่ารักกว่าเดิมด้วยแฮะ
“ไอ้เปี๊ยก
ฉันมารอนายตั้งนานจน ดวงอาทิตย์จะตกดินแล้วนะ ลืมแล้วใช่มั้ยเจ้าคนความจำสั้น แค่สิบสองปีเองนะ ไม่รอแล้วโว้ย
หิว
ฉันเอาสมบัติของฉันไปแล้วนะ
หนังสือน่าอ่านดีแฮะถึงว่านายติดมันจัง
แล้วก็นาฬิกาถ่านหมดกับแว่นขาหักนี่ด้วย
เอาเถอะว่างๆฉันจะลองซ่อมมันดูแล้วกัน”
มินโฮอ่านข้อความหลังรูปสลับกับการพลิกดูหน้าเจ้าของมันไปด้วยเป็นรอบที่เท่าใหร่ไม่รู้ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านในสภาพที่ค่อนข้างจะมอมแมมจนโดนนายแม่บ่นเอา
ดีที่คนเป็นแม่ไม่ได้ซักไซร้ไล่เลียงอะไรมาก แค่ถามนิดๆหน่อยๆแล้วไล่เขาขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวสำหรับปาร์ตี้เล็กๆในวันนี้
ใต้ข้อความหลังรูป
ปรากฏเลขสิบหลักเรียงกัน
มันคือเบอร์โทรติดต่อที่เจ้าของรูปให้เอาไว้ พี่ชายคนนี้ยังคงเชื่อมั่นในตัวมินโฮเสมอ แม้จะมีข้อความตัดพ้อ
แต่ก็คงไม่คิดว่าเขาลืมสัญญาที่ให้ไว้จริงๆ ไม่งั้นคงไม่ทิ้งช่องทางการติดต่อไว้ให้หรอก แต่ถึงจะอยากติดต่อไปเพียงใด
ก็คงทำไม่ได้หรอกในเมื่อมินโฮเองยังไม่มีโทรศัพท์ส่วนตัวที่ใช้ติดต่อภายในประเทศได้เลยนี่นา อา
พรุ่งนี้คงต้องให้เจ้าน้องชายตัวดีพาไปเที่ยวแล้วสิ
“คุณหนูใหญ่คะ
คุณนายแม่ให้มาตามค่ะ”
เสียงเคาะประตูบวกกับเสียงเรียกหน้าห้องทำให้มินโฮหลุดจากห้วงความคิดของตน
“บอกคุณแม่ว่าเดี๋ยวผมตามลงไปครับ”
รูปถ่ายใบเล็กถูกวางไว้บนหมอนใบขาวสะอาด
ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นสำรวจความเรียบร้อบตัวเองในกระจกและออกจากห้องไป
ร่างสูงกว่า 185 เซนติเมตร
ผมสั้นถูกจัดเซ็ตทรงอย่างง่ายๆแต่รับกับใบหน้าคมพอดี ถึงแม้ว่าจะอยู่ในชุดลำลองสบายๆ
แต่ออร่าความหล่อกลับทียบเท่านายยแบบบนปกนิตยสาร ร่างที่ก้าวเข้ามาในสนามเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนได้ม่ยาก
ชายหนุ่มมองบุคคลที่นั่งพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่ยนโต๊ะอาหารรอเค้าก่อนแล้ว นอกจากพ่อแม่กับน้องชายแล้ว
ยังมีชายหนุ่มหญิงสาวอีกคู่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
จะว่ายังไงดีล่ะ ชักได้กลิ่นความไม่ธรรมดาจากปาร์ตี้ครั้งนี้แล้วสิ
แม้ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปแล้วเกือบชั่วโมง
แต่อู่ซ่อมรถเล็กๆแห่งนี้กลับยังมีแสงส่าวจากนีออนอยู่ ลูกค้าเคสฉุกเฉินที่นั่งหน้าเศร้าอยู่บนเก้าอี้ ทำให้เจ้าของอู่ต้องรีบเร่งมือ เด็กชายตัวเล็กตาโต พร้อมกับผิวขาวๆปากแดงๆ
ทำให้จงฮยอนอดนึกถึงเด็กอีกคนได้ไม่ยาก นึกว่าคนหน้าคล้ายเคโรโระจะมีอยู่คนเดียวในโลกซะอีก
“พี่ชายครับ
เจ้าฮาร์เล่ของผมจะเป็นอะไรมั้ยครับ”
เด็กน้อยถามพร้อมกับน้ำตาคลอหน่วย
ทำให้จงฮยอนอดที่จะเอ็นดูไม่ได้
เด็กหนอเด็กตั้งชื่อจักรยานว่าฮาร์เล่
ส่อแววตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกเลยนะ
“อยู่ในมือช่างจงพันโค้งแล้ว
ไม่ต้องห่วงเจ้าเปี๊ยก”
จงฮยอนว่าพลางขยิบตาให้เด็กน้อย
แต่ถึงกระนั้นใบหน้าเศร้าๆก้ไม่คลายลงไป
จะว่าไปเด็กคนนี้ก็น่าเห็นใจไม่น้อย
จักรยานที่คุณแม่เพิ่งซื้อมาเพื่อขี่ไปโรงเรียน
กลับถูกคนไม่มีวินัยจราจรเฉี่ยวซะล้อหลังเป็นเลขแปด ขนาดจอดอยู่ริมฟุตบาทแท้ๆยังโดนขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าเจ้าของกำลังขี่มันอยู่บนถนนล่ะ จงฮยอนไม่อยากจะนึกสภาพ
เด็กน้อยทั้งร้องไห้ทั้งลากจักรยานที่ล้อหลังใช้การไม่ได้ เดินมาถึงหน้าอู่ตอนที่เขากำลังจะปิดร้านพอดี
หน้าใสๆเป็นปื้นแดงเพราะการร้องไห้หนัก แบบนี้จะไม่ช่วยก็กระไรอยู่
“เรียบร้อย”
เจ้าของอู่จอดจักรยานคันเก่าแต่ล้อใหม่ตรงเท้าเจ้าของ พลางตบเบาะปุ๊ๆเป้นการพรีเซนต์ผลงานตัวเองกลายๆ
“ถึงไม่สวยเท่าเดิมแต่เครื่องแจ่มกว่าเดิมนะไอ้น้อง”
พูดไปงั้นแหละ
จักรยานมันไม่มีเครื่องให้ดัดแปลงหรอก
จงฮยอนลอบสังเกตดูปฏิกิริยาของเด็กน้อย
เด็กชายใช้หลังมืออวบเช็ดน้ำตาที่ปริ่มจะหยดลงมาตามแรงโน้มถ่วง ก่อนที่ปากเล็กจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“ขอบคุณฮะพี่ชาย”
“ขอบคุณนะที่พาเจ้าดื้อมาส่งถึงบ้าน”
“ไม่เป็นไรครับ”
“พี่ไปล่ะนะเด็กน้อย ดูแลเจ้าฮาร์เล่ให้ดีๆล่ะ”
ประโยคแรกพูดกับหญิงสาวผู้เป็นแม่ของเด็ก ส่วนประโยคถัดมา
จงฮยอนพูดกับเด็กน้อยที่เขาอาสาพามาส่งถึงบ้าน
หนึ่งล่ะเพื่อความปลอดภัยของเด็ก
และสองเพื่ออธิบายให้ผู้ปกครองของเด็กฟังว่าทำไมลูกของพวกเขาถึงได้เถลไถล หลังจากร่ำลากันเสร็จ จงฮยอนก้เดินกลับบ้านตัวเอง ซึ่งก็ไม่ไกลจากบ้านหลังนี้นัก
นาฬิกาข้อมือสำหรับเด็กสีดำถูกล้วงออกมาจากกระเป๋าเพื่อดูเวลา 08:09 สองทุ่มเก้านาที
ดึกขนาดนี้เค้าต้องไปไม่ทันเวลานัดแน่
ชายหนุ่มรีบสาวเท้าเพื่อให้ถึงบ้านโดยเร็วที่สุด จงฮยอนจะพลาดนัดสำคัญนี้ไม่ได้
ร้านเหล้าเล็กๆกึ่งผับกลางเมืองหลวง
ไม่แปลกนักที่ทุกโต๊ะจะคับแน่นไปด้วยผู้คนเพราะเป็นวันสุดสัปดาห์
ชายหนุ่มในหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสูงเพรียวในชุดสูทเรียบร้อยตามแบบฉบับพนักงานบริษัท
นั่งอยู่โต๊ะในสุดของร้าน
แต่ถึงกระนั้นก็เด่นสะดุดตาจนสาวๆหลายคนต้องแอบเหล่มองบ่อยครั้ง
09:08
นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูเกือบจะทุกห้านาทีนับตั้งแต่ที่ชายหนุ่มเข้ามาในร้าน เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วนับตั้งแต่มินโฮกลับมาบ้านเกิด จะว่าไฟแรงก็ได้เพราะมินโฮใช้เวลาพักผ่อนไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำก็มาเริ่มเรียนรู้งานที่บริษัทเลย
โชคดีที่ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิตมากนักชายหนุ่มจึงมาได้ไม่ยาก เวลานัดคือสามทุ่ม
แต่มินโฮมาถึงตั้งแต่ยังไม่สองทุ่มด้วยซ้ำ
แก้วน้ำเปล่าถูกเติมเป็นรอบที่สามแล้วนับตั้งแต่มาถึง ดีนะที่ทางร้านไม่ไล่เขาออกไปในเมื่อตั้งแต่มานั่งตรงนี้เขายังไม่ได้สั่งอะไรเลยนนกจากน้ำเปล่า
“ครืด ครืด คาทก”
มินโฮกดดูข้อความจากโปรแกรมแชทสีเหลืองทันทีที่มีการแจ้งเตือน และแน่นอนผู้ส่งคือบุคคลที่เขานัดไว้
Real_Jongdee พี่เพิ่งออกจากบ้านคงอีกประมาณสามสิบนาทีนายรอไหวมั้ย (อีโมหน้าเศร้า)
Minhoooooo ผมเพิ่งเคลียงานเสร็จครับ
พี่เดินทางตามสบายเลย (อีโมยิ้มจนตาปิด)
จงฮยอนอ่านขอความที่ตอบกลับมาในทันทีหลังจากที่เค้าส่งไป อย่างนี้แสดงว่าเขาก็ไม่ได้สายคนเดียวน่ะสิ
ร่างสมส่วนในชุดกางเกงยีนส์สีดำขาดเข่าตามแฟชั่น กับเสื้อหนังสีน้ำตาลที่สวมทับเสื้อกล้ามสีดำด้านใน ก้าวขึ้นคร่อม
BMWS 1000 RR สีแดงเลือดนกขับควบทะยานสู่ท้องถนนไปยังจุดมุ่งหมายทันที
09.40 นาฬิกาข้อมือถุกยกขึ้นมาดูสลับกับการดูประตูร้านที่มินโฮเลือกโกหกออกไป เพราะเขาไม่อยากให้จงฮยอนรีบร้อนเดินทางจนเกินไปจนเกิดอุบัติเหตุได้ แต่ถึงบอกว่าไม่รีบยังไง
มินโฮก็ยังอยากเจอพี่ชายที่ไม่ได้เจอกันมานานคนนี้เร็วๆเหมือนกัน
ไม่น่าเชื่อว่าคนสองคนที่อตีตเคยสนิทสนมกันแค่ช่วงเวลาเดือนกว่าๆจะมีความผูกพันธ์กันได้ขนาดนี้ หลังจากน้องชายพาไปซื้อโทรศัพทืใหม่ มินโฮรีบกดเลขสิบหลักหลังรูปที่ท่องจำได้อย่างขึ้นใจกว่าสูตรคูณที่ท่องมาแต่เด็กซะอีก เขาไม่รู้ตัวว่าตัวเองยิ้มกว้างขนาดไหนเมื่อปลายสายกดรับหลังจากที่พยามยามติดต่อแล้วสายหลุดไปถึงสามครั้ง
และหุบยิ้มลงทันทีเมื่อพบว่าเสียงที่รับสายแหลมเล็กเกินกว่าจะเป็นเสียงบุรุษเพศ ซึ่งมินโฮคิดว่ามันคงตลกมากจนเจ้าน้องชายตัวดีเก็บมาแซวสนุกปากอยู่นาน
ในตอนนั้นมินโฮคิดว่าตัวเองต้องต่อสายผิดแน่ๆ
แต่ก็ยังขอพูดสายกับคนที่เขาคิดว่าเป็นเจ้าของเบอร์นี้มาตลอด
สายถูกเปลี่ยนมือไปเป้นเสียงแหบทุ้มที่พูดแทนพร้อมกับการยืนยัยตัวตนและความมั่นใจให้มินโฮว่าเบอร์นี้แหละไม่ผิดแน่
“คิมจงฮยอนพูดสายครับ”
จากนั้นมาเพื่อนในวัยเด็กทั้งสองก็ติดต่อกันเรื่อยๆ จงฮยอนมีแฟนแล้ว เวลาสิบสองปีมินโฮอายุ 22 ส่วนจงฮยอนก็คง
24 ไม่แปลกหรอกที่พี่ชายคนนี้จะมีคนรัก มีแต่เขานี่แหละที่ไม่ยอมคบหาดูใจกับใครสักที จงฮยอนย้ายบ้านออกมาจากหลังเดิมตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย
ซึ่งเมื่อก่อนถึงแม้จะอยู่ใกล้กันแต่มินโฮก็ไม่รู้หรอกว่ามันป็นหลังไหน
และทุกวันนี้จงฮยอนมีกิจการอู่ซ่อมรถเล็กๆอยู่ใกล้ๆกับบ้านหลังใหม่
ส่วนพอ่กับแม่กลับไปอยู่ต่างจังหวัดตั้งแต่ที่เขาเรียนจบแล้ว ตอนนี้จึงเท่ากับว่าจงฮยอนอยู่คนเดียว
เกือบเดือนที่ติดต่อกันทางโทรศัพท์และโปรแกรมแชท วันนี้เป็นวันที่ทั้งสองคนมีเวลาว่างตรงกัน จึงนัดเจอกันที่ร้านเหล้าแห่งนี้
มินโฮเรียกให้พนักงานเสิร์ฟเก็บแก้วน้ำและขวดน้ำของเขาไปให้เหลือแต่โต๊ะเปล่าๆเสมือนเพิ่งมาถึงแล้วนั่งคอยจงฮยอนต่อไป
เกือบสี่ทุ่ม
ผลจากการดื่มน้ำเปล่าไปในปริมาณเยอะๆ
ทำให้มินโฮต้องลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ
ร่างสูงสง่าเดินกลับมายังโต๊ะที่เขาจับจองไว้
ก่อนคิ้วเข้มจะขมวดจนแทบชนกันเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งแทนที่เขาซะแล้ว
“เอ่อ ขอโทษนะครับคุณ”
ชายหนุ่มในชุดแจ๊กเก๊ตหนังสีน้ำตาล เงยหน้าขึ้นจากเมนูอาหารที่กำลังเลือกอยู่ มองคนที่กำลังเข้ามาทัก มุมปากของร่างสูงฉีกยิ้มออกมาเป็นอย่างแรกก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มทั้งหน้า
เมื่อได้มองหน้าคนที่นั่งอยู่เต็มตา
“ชเวมินโฮ ครับ”
หลังจากวันนั้นเป็นเวลาร่วมหกเดือนแล้ว
ทั้งสองคนนัดเจอกันบ่อยขึ้นแทบจะทุกสัปดาห์เลยก็ว่าได้ ในครั้งแรกที่เจอกัน จงฮยอนดูเหมือนจะตกใจนิดหน่อย เขาไม่คิดเลยว่าเด็กตัวเล็กๆผอมๆเมื่อสิบกว่าปีก่อน โตมาจะตัวสูงใหญ่กว่าเขาถึงขนาดนี้
ใหล่ก็กว้างกว่าแถมยังดูหล่อเหลาเหมือนนายแบบ แต่ช่างปะไรไอ้ความหล่อจงฮยอนก็ไม่แพ้ใครหรอก เจ็บใจก็แต่ความสูงเนี่ยแหละ ส่วนมินโฮนั้น
เขารู้สึกดีใจมากที่พี่ชายคนนี้ตัวเล็กกว่าเขา
ก็ตัวเล็กๆบางๆอย่างนี้มันน่าทะนุถนอมไม่น้อยเลยนี่นา
ด้วยความที่มินโฮไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก
จงฮยอนจึงเป็นเหมือนเพื่อนคนเดียวในเกาหลีที่เขามี มีบางครั้งที่มินโฮแวะหาจงฮยอนที่อู่ แรกๆก็อ้างว่าไปเช็คสภาพรถมั่งแหละ ไปซื้ออุปกรณืเสริมนู้นนี่นั่นบ้างแหละ
ทั้งที่กิจการของตัวเองเป็นถึงผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
แต่พักหลังๆมานี่ก็ไปเลยแบบไม่ต้องหาข้ออ้างเพราะยังไงซะจงฮยอนก็รู้อยู่ดี
ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายตัวเล็กๆที่ติดจะบอบบางด้วยซ้ำจะดูเท่สุดๆเมื่อมีผ้าเปื้อนๆโพกหัวและอยู่ในชุดหมีมอมๆ มินโฮชอบนั่งดูจงฮยอนทำงาน และคอยเป็นลูกมือหยิบจับนั่นนี่ให้เป็นบางครั้ง
คอยป่วนบ้างเป็นบางคราว
แม้จะโดนไล่ให้ไปทำงานตัวเองหลายต่อหลายครั้งแต่มินโฮก็ตีหน้ามึนใส่ทุกครั้ง
เอาจริงๆถ้าย้ายโต๊ะทำงานมาอยู่ในอู่ด้วยได้นี่คงทำไปนานแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมามินโฮไม่ใช่คนขี้เหงาอะไรเลย และกว่าครึ่งชีวิตนี้ก็อยู่คนเดียวมาตลอด
แต่แค่เวลาครึ่งปีที่ได้กลับมาอยู่บ้านเกิด
ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองขาดพี่ชายคนนี้ไม่ได้
ใกล้สิ้นปีแล้ว
งานในฐานะรองประธานของมินโฮดูจะยุ่งเป็นพิเศษ
สัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์จึงทำให้มินโฮไม่ได้ติดต่อจงฮยอนเลย
ซึ่งเขาเดาว่าจงฮยอนก็คงจะยุ่งกับชีวิตมากเช่นกันอีกคนจึงไม่ได้ตอบกลับข้อความที่เขาส่งไปเลย ไม่แม้แต่จะเปิดอ่านด้วยซ้ำ
กว่างานที่ยุ่งมาทั้งสัปดาห์ทั้งการปิดงบ แผนการโปรโมตในปีหน้า
การประเมินพนักงานและอีกยิบย่อยจะซาลงก็ปลายสัปดาห์พอดี เอาเป็นว่าพลังงานของมินโฮแทบโดนสูบออกไปจนหมดตัวทีเดียว
เกือบห้าทุ่มแล้วมือหนาปิดแฟ้มเล่มสุดท้ายหลังจากการเซ็นอนุมัติเสร็จ ก่อนลุกไปทำธุระส่วนตัวเพื่อเตรียมจะเข้านอน
ร่างสูงแทบวิ่งออกจากห้องน้ำไม่ทันเมื่อเสียงเตือนจากโทรศัพท์เครื่องหรูแผดกังวาลขึ้น คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจไม่เคยมีสายเข้าตอนดึกขนาดนี้ มือเรียวยาวหยิบเอาเครื่องมือสื่อสารที่คว่ำหน้าอยู่ขึ้นมาดู
คิ้วเข้มที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งผูกเป็นปมเมื่อเห็นรายชื่อของสายเรียกเข้า
“ครับ พี่จงฮยอน”
ร่างสูงสวมชุดอื่นแทนชุดนอนอย่างลวกๆก่อนบึ่ง Ferrari 458 ออกมาจากคอนโดด้วยความรีบร้อน
“ร้านเดิม
ช่วยมาเก็บซากฉันหน่อย”
เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
แล้วปลายสายก็ถูกตัดไป
คำว่าร้านเดิมทำให้มินโฮมาหาอีกคนได้ไม่ยาก แต่คำว่าช่วยมาเก็บซากทำให้เค้าต้องเหยียบคันเร่งจนเกือบมิดเข็มไมล์ พี่อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเลยนะครับ
ร่างเล็กๆที่ยิ่งดูเล็กกว่าเดิม
เป็นเพราะใส่ชุดดำทั้งชุดหรืออาจเป็นเพราะสภาวะทางจิตใจของเจ้าของมันก็ไม่รู้ นิ้วเล็กเกลี่ยวนรอบขอบแก้วน้ำสีอำพันไปมา สายตาเหม่อลอยจ้องมองไปยังที่แสนใกล
ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองมีเพื่อนร่วมโต๊ะแล้ว
เมื่อพบว่าอีกคนยังไม่เป็นซากตามที่โทรบอกมินโฮก็เบาใจไปเปาะนึง
แต่การใส่เสื้อบางๆตัวเดียวออกมาในหน้าหนาวเนี่ยสิ คิดได้ไง
“จงฮยอน ฮยอง”
สัมผัสหนักๆที่บ่ากับเสียงเรียกที่ค่อนข้างดังทำให้จงฮยอนรับรู้การมีตัวตนของเพื่อนร่วมโต๊ะคนนี้
“มาเร็วจัง”
มือเล็กยกแก้วบรรจุน้ำสีอำพันนั้นดื่มรวดเดียวจนหมดราวกับมันอร่อยหมือนเป็นน้ำทิพย์จากฟ้า
“คงมีแต่นายเนี่ยแหละมั้งที่สนใจฉัน”
รอยยิ้มเศร้าๆจุดขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับสายตาเศร้าๆ
แค่อาทิตย์เดียวที่ไม่ได้เจอกัน
ทำไมรู้สึกว่าคนตัวเล็กยิ่งตัวเล็กกว่าเดิม
“พอดีคอนโดผมอยู่ใกล้ๆ”
บริกรของร้านเมื่อเห็นว่ามีคนมาเพิ่มจึงเอาแก้วมาให้แต่มินโฮปฏิเสธไป
“นึกว่านายอยู่บ้านซะอีก เอ๊าะลืมไปชเวมินโฮ รวยล้นฟ้า”
แต่ไหนแต่ไรมาจงฮยอนไม่เคยเหน็บแนมเค้าเรื่องฐานะเลยแม้จะรู้ดีว่าต่างกันแค่ไหน แต่พี่ชายตัวเล็กคนนี้ไม่งี่เง่าจนเก็บมาใส่ใจ
เพื่อนคือเพื่อน การปฏิบัติต่อกันจึงไม่มีการตะขิดตะขวงใดๆ
“เกลียดคนรวยอย่างนายจัง”
พูดแค่นั้นมือก็คว้าแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มอีกครั้งและเช่นเดิมรวดเดียวหมดแล้วรินเติมลงไปอีกจนมินโฮต้องคว้าไว้เพราะกลัวอีกคนจะเมาไปก่อนที่จะพูดกันรู้เรื่อง
จงฮยอนล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนส่งมันให้กับคนที่นั่งตรงข้าม
กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินคุ้นตาที่มินโฮรู้ดีว่าข้างในมันคืออะไร
“วันนี้นึกไงเนี่ยพาผมมาเที่ยวห้าง”
มินโฮกล่าวทักอีกคนออกไปเมื่อทั้งสองพบกันตามนัดในวันอาทิตย์ที่นัดครั้งนี้ดูพิเศษกว่าครั้งไหนๆคือจงฮยอนผู้ไม่ชอบการช๊อปปิ้งดันนัดเขามาพบในห้าง
วันนี้พี่ชายตัวเล็กดูสดใสเป็นพิเศษทั้งการแต่งตัวแนวน่ารักๆแบบที่มินโฮไม่เคยเห็น
และผมที่เคยเซ็ตตั้งเป็นทรงก็ปล่อยตกลงมาเป็นหน้าม้าตามธรรมชาติ
จึงทำให้คนตัวเล็กดูน่ารักมากในสายตามินโฮ
“มองไร คือมันแปลกมากเหรอว่ะ
มือเล็กยกขึ้นเกาแก้มอย่างที่ชอบทำตอนเขิน
พร้อมกับทำปากยื่นออกมา
มินโฮคงเสียมารยาทมองนานเกินไปจนคนโดนมองต้องทักออกมา ร่างสูงไม่ตอบแต่ยิ้มแบบเขินๆออกไปแทนเช่นกัน
“เนี่ย
โคฟเป็นคู่จิ้นแบบที่เค้านิยมกันไง ผู้ชายร่างควายสองคนเดินด้วยกันถ้าฉันเข้มนายเข้มคนเค้าจะนึกว่าแก๊งทวงหนี้
เอาแบบนี้ดีกว่าจะได้ไม่เด่นเกินไป”
โถถถถถ เอาความมั่นใจมาจากไหนครับพี่ว่ามันจะไม่เด่นผู้ชายตัวเล็กๆน่ารักๆ
พอยืนคู่กับผู้ชายตัวสูงๆแบบนี้มันยิ่งเด่นจนคนรอบต้องหันมอง แล้วอีกอย่างไอ้ที่ว่าร่างควายเนี่ย พูดเหมือนไม่เคยดูตัวเองในกระจก
“ช่วยพี่เลือกของหน่อย เดี๋ยวพาเลี้ยงเนื้อย่าง”
“เลือกแหวนหมั้นสาวเหรอพี่”
เจตนากะแซวเล่นเท่านั้นแต่อีกฝ่ายกลับเบิกตาโตพลางทำหน้าเหลือเชื่อ
“สมกับเป็นน้องรักพี่จริงๆ มะ
มาหอมแก้มที”
ร่างสูงถูกพี่ชายแต่ตัวเล็กกว่าเกือบยี่สิบเซนลากเข้าร้านเครื่องประดับร้านนั้นทีร้านนี้ทีจนทั่วห้าง มินโอรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้ช่วยจงฮยอนเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ ถึงจะจบโทตั้งแต่อายุยังน้อย
เก่งไปทุกอย่างแต่เรื่องเลือกของมินโฮยอมแพ้ เขาแค่เดินตามอีกคน ออกความเห็นบ้างเล็กน้อยตอนที่จงฮยอนถาม
แต่ส่วนใหญ่เหมือนพี่ชายตัวเปี๊ยกจะพูดกับตัวเองมากกว่า จนในที่สุดกับเวลาที่ห้างเกือบปิด
เจ้าแหวนทองคำขาววงเล็กที่ฝังเพชรรูปหัวใจล้อมรอบก็มาอยู่ในกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินที่อีกคนกำลังยื่นมันให้เขาในตอนนี้
“เค้าไม่ต้องการมันแล้วแหละ
นายช่วยฉันเลือกมันดังนั้นฉันยกให้”
ว่าแล้วก็กระดกตามอีกช๊อต
เสียงพูดอ้อแอ้กับมือที่ปัดป่ายไปมาทำให้มินโฮรู้ว่าสติของพี่ชายคนนี้คงใกล้หมดเต็มที
“พี่พอได้แล้วน่า”
มินโฮแย่งแก้วออกจากมือคนตัวเล็กแล้วกระดกมันเข้าไปแทน รสขมปร่าทำเอาเขาต้องนิ่วหน้า
ไม่รู้ว่าอีกคนกินเข้าไปได้ยังไงเพียวๆตั้งหลายแก้ว จากนั้นจึงเรียกบริกรของร้านมาเก็บเงิน ก่อนแบกคนที่เมามายแต่ยังไม่สิ้นฤทธิ์ขึ้นหลังเดินออกไปจากร้าน
โดยไม่คิดแม้แต่จะหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินกล่องนั้นติดมือมาด้วย
เฟอรารี่คันหรูของมินโฮคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวจากเศษอาหารที่คนขี้เมากินเข้าไป
แต่ร่างสูงไม่มีเวลาจะใสใจมากนัก ขี้เมาตัวเล็กถูกแบกพาดบ่าขึ้นลิฟต์ไป
จงฮยอนอ้วกใส่หลังมินโฮแถมยังกระจายตามพื้นด้วย
คนที่ลำบากคงเป็นพนักงานทำความสะอาดพรุ่งนี้แน่ ไม่เป็นไรค่อยขอโทษแล้วกัน ร่างสูงจึงรีบสาวเท้าพาคนบนบ่าไปให้ถึงห้องโดยเร็วที่สุด
เมื่อถึงห้องมินโฮก็จัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คนเมาที่ยังปัดป่ายเขาไม่เลิก
จากนั้นจึงจัดแจงให้นอนในท่าสบายๆบนเตียงก่อนจะไปจัดการทำความสะอาดตัวเองในห้องน้ำ
เสียงสะอื้นเบาๆที่พยายามกลั้นสุดกำลังไม่อาจพ้นโสตประสาทของคนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำได้ ไหนจะการไหวนิดๆของกองผ้าห่มนั่นอีก จงฮยอนกำลังร้องไห้ แทนที่จะหลับไปอย่างที่เขาคิด
การอ้วกออกมาประกอบกับการล้างเนื้อล้างตัวคงทำให้จงฮยอนสร่างเมาลงบ้างแต่คงไม่ทั้งหมด
ไม่งั้นพี่ชายที่เข้มแข็งมากคนนี้คงไม่มาร้องห่มร้องไห้ง่ายๆหรอก
เตียงที่ยวบยาบข้างตัวทำให้จงฮยอนรู้ว่าเจ้าของห้องคงออกมาจากห้องน้ำแล้ว น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินอาบทั้งสองแก้ม
ไม่เหลือแล้วความอายถ้าเป็นกับน้องชายคนนี้คนที่อยู่ข้างๆเขามาตลอด
ร่างเล็กโผเข้ากอดพร้อมกับซุกหน้าเข้าหาอกแกร่งของคนที่นั่งข้างๆ ก่อนปล่อยก้อนสะอื้นออกมาเต็มที่โดยไม่เก็บกัก ร่างเล็กสั่นเหมือนลูกนกไร้ที่พึ่ง มือใหญ่ลูบแผ่นหลังของคนที่กอดอยู่เบาๆเป็นการบอกกลายๆว่ายังมีเค้ายังอยู่ด้วยนะ
มินโฮไม่เคยมีความรักกับใครแบบจริงๆจังๆจนถึงขั้นอยากร่วมฝากอีกครึ่งชีวิตไว้ด้วยกันเลยเหมือนกับจงฮยอน
เขาใช้ชิวิตแบบวัยรุ่นทั่วไปที่มีอิสระในต่างแดน กิน
เที่ยวเล่นและสนุกกับคนที่ถูกใจ
ร่างสูงไม่รู้หรอกว่ามันจะเจ็บปวดขนาดไหนหากรักไม่เป็นตามหวัง
แต่เมื่อวัดจากร่างที่กำลังสั่นเทิ้มในอ้อมกอดตอนนี้คงจะเจ็บปวดไม่น้อย
“ทำ ฮึก ไม ฮึก เค้าถึง ฮึก ไม่ ฮึก รักชั้น”
ประโยคกระท่อนกระแท่นถูกเปล่งออกมาหลังจากที่จงฮยอนผละใบหน้าออกจากอกกว้าง
“ทำไมค้าถึงไม่รัก”
คำถามง่ายๆแต่ทว่าคำตอบกลับยากนัก
มินโฮไม่รู้หรอกว่าทำไมเพราะความคิดของคนเรามันต่างกัน และตัวเขาเองไม่ดูถูกคนอื่นจนไปคิดแทนใครได้ด้วย
มือใหญ่โอบประคองใบหน้าเปื้อนน้ำตาอีกคนขึ้นให้เงยสบตาเขา ดวงตาที่เคยสดใสเหมือนหมาน้อย บัดนี้เศร้าสร้อยและคลอไปด้วยน้ำตาเต็มหน่วยจนใจที่คิดว่าต้องเข้มแข็งของมินโฮกระตุกวูบและอดเศร้าตามไม่ได้
มินโฮจูบซับที่แผ่วเบาที่หน้าผากคนที่กำลังรอคำตอบแทนการตอบคำถาม
ก่อนผละออกสบตากับแววตาเศร้าเจอความสับสนที่จงฮยอนส่งมาให้ อา ทั้งที่พี่จงฮยอนกำลังเจ็บแท้ๆ
แต่ทำไมมันดูน่ารักอย่างนี้นะ
“ทำไม…”
มินโฮประกบริมฝีปากลงทับกลีบปากอิ่มที่กำลังเผลอออกมาเอ่ยคำถามกับเขา พร้อมกับสอดลิ้นควานข้างในไม่รอช้า
ก่อนที่คนโดนฉวยโอกาสจะได้ทันตั้งตัว
ชเวมินโฮ
หนุ่มหล่อลูกเศรษฐีดีกรีนักเรียนนอก
ดูสมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างก็มีด้านมืดที่คนทั่วไปไม่รู้เช่นกัน เขาเป็นไบ
นั่นคือด้านมืดที่น้อยคนนักจะรู้ แน่นอนคนในพ่อกับแม่และคนในบ้านเกิดทุกคนไม่มีใครรู้
ชิวิตนักเรียนนอกที่อยู่ในสายตาพ่อแม่แค่ปีละเกือบเดือน
แรกๆที่ไปเรียนอังกฤษมินโฮไปพักอยู่กับคนที่เคยเป็นโฮสต์ของพ่อตอนที่พ่อเขาไปเรียนที่นั่น
แต่พอจบโฮสคูลเขาก็ออกมาอยู่คนเดียว ซึ่งก็ไม่มีใครคัดค้านเพราะเห็นว่ามินโฮโตพอที่จะเอาชีวิตรอดได้ด้วยตัวเองแล้ว พ่อ
แม่และน้องชายจะไปเยี่ยมเขาแค่ตอนที่น้องชายปิดเทอมเท่านั้น
ความอิสระทำให้มินโฮใช้ชิวิตวัยรุ่นอย่างคุ้มค่า
เวลาเรียนก็เรียนเวลาสนุกก็เต็มที่เช่นกัน
กินเที่ยว สนุกกับคนถูกใจทั้งสาวสวยอกอึ๋มและหนุ่มน้อยอ้อนแอ้น
คนไหนถูกใจก็ใช้บริการกันไปนานๆหน่อย
ส่วนคนไหนที่เคมีไม่เข้ากันก็วันไนท์สแตนไปชายหนุ่มรู้ตัวมาตั้งนานแล้วว่าตัวเองสนใจพี่ชายตัวเล็กคนนี้
คงตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นรูปใบนั้นที่อยู่ในกล่องเหล็กเก่าๆ หรือไม่ก็ก่อนหน้านั้น แต่ที่แน่ๆคือรู้สึกต้องใจและอยากได้มากกว่าคนไหนๆซะอีก มันเป็นความรู้สึกอยากได้แต่ไม่อาจครอบครองเพราะอีกคนไม่ได้มีรสนิยมเหมือนเขาแน่
อีกทั้งยังมีแฟนเป็นตัวเป็นตนถึงขั้นวางแผนใช้ชีวิตร่วมกัน เมื่อจงฮยอนยังยิ้มให้เขาอย่างบริสุทธิ์ใจ
เขาจึงเลือกเก็บงำความรู้สึกตัวเองไว้ และทะนุถนอมรอยยิ้มนี้ต่อไปในฐานะเพื่อนสนิท
อีกด้านมืดของมินโฮคือ
เขาเป็นนักธุรกิจและมีสายเลือดของนักธุกิจเข้มข้นไหลเวียนในตัว นั่นคือการลงทุนแล้วต้องได้ผล
แม้เขาจะบอกตัวเองเสมอว่ากับจงฮยอนไม่ได้หวังผลอะไรมากกว่าความเป็นเพื่อนที่หยิบยื่นให้กัน แต่ด้านมืดมันก็คอยให้กำลังใจเขาตลอดว่าให้หวังบ้างเถอะถึงความเป็นไปได้มันจะไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ตาม
มินโฮรู้ว่าโอกาสเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำธุรกิจ
ธุรกิจที่เติบโตได้ต้องคว้าทุกโอกาสที่ลอยเข้ามา
และทำไมเขาจะใช้มันกับเรื่องของหัวใจไม่ได้ล่ะ โอกาสน่ะตอนนี้มินโฮกำลังฉวยมันจากจงฮยอนอยู่
จูบที่เนิ่นนานส่งผลให้คนโดนจู่โจมกะทันหันแทบขาดอากาศหายใจเรี่ยวแรงอันน้อยนิดที่เหลือจากการถูกริดรอนโดยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ถูกรวมรวมมาผลักอกอีกคนออก ร่างสูงผละจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่งเสียดายที่ยังไม่ได้ตักตวงความหวานที่เฝ้ารอมานานให้เต็มที่
จงฮยอนหยุดร้องไห้แล้ว
ใจที่เต้นแรงเพราะการร้องไห้เต้นเป็นจังหวะที่แตกต่างออกไป
จูบเมื่อกี้ถึงจะกะทันหันแต่ก็วาบหวามไม่น้อย
ตอนนี้จงฮยอนไม่กล้าแม้แต่จะมองสบสายตาที่มองมาแบบจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งร่างได้ จึงได้แต่ซุกใบหน้าลงไปกับอกชื้นๆนั้นอีกหน
“ผมไม่รู้หรอกครับว่าทำไม
เอางี้มั้ยถ้าพี่เบื่อดูแลคนอื่น เปลี่ยนมาลองให้ผมดูแลพี่แทนเป็นไง”
มินโฮประคองใบหน้าที่ยุกยิกอยู่กับอกกว้างของตัวเองให้เงยขึ้นมารับสัมผัสอีกหน
คราวนี้ดูเหมือนลิ้นของจงฮยอนจะออกมาหยอกล้อกับลิ้นของเขาด้วย
จงฮยอนไม่เคยคิดว่าชิวิตนี้จะนอนกับผู้ชาย ไม่ได้รังเกียจรสนิยมแบบนี้แต่เขาคิดมาตลอดว่าเรื่องแบบนี้ผู้ชายต้องทำกับผู้หญิง
แต่ไม่รู้ทำไมทั้งร่างกายและจิตใจกลับไม่ปฏิเสธน้องชายตัวสูงคนนี้ อาจเป็นเพราะว่าเขาเบื่อดูแลคนอื่นอย่างที่มินโฮว่าละมั้ง
จูบที่มากด้วยชั้นเชิงด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ดุท่าคนตัวเล็กจะเป็นฝ่ายจนมุมซะมากกว่า
เมื่อหมดแรงหนีจึงผลักอกอีกคนออก
มินโฮถอนริมฝีปากออกจากปากอิ่มอย่างอ้อยอิ่งแล้วเปลี่ยนมาแลบเลียเอาน้ำใสที่ไหลย้อยมุมปากของพี่ชายตัวเล็กแทน
ปล่อยให้อีกคนมีโอกาสได้กอบโกยออกซิเจนเข้าปอดบ้าง
มือหนาผลักพี่ชายให้นอนราบลงกับเตียงก่อนจะคลานตามไป
เสื้อนอนที่ใส่อยู่ถูกถอดผ่านศรีษะแล้วโยนลงข้างเตียงอย่างไม่ใส่ใจ จงฮยอนมองมัดกล้ามเนื้อสมชายของมินโฮตาแป๋วอยู่ๆก็รู้สึกร้อนเห่อขึ้นมาทั้งหน้าจนต้องหันหน้าออกด้านข้าง
แต่มือใหญ่ยังจับตามคางเรียวให้หันมาเผชิญหน้ากัน
เมื่อหมดหนทางหลีกเลี่ยงจงฮยอนจึงต้องยอมสบตากับคนที่คร่อมอยู่ด้านบน
ตาคมที่ส่งมาสื่อความหมายหลายอย่างจนคนที่อยู่ด้านล่างตีความไม่ได้
แต่ยอมรับว่ามันเต็มไปด้วยความวาบหวามจนแทบแผดเผาจงฮยอนให้ละลาย
มินโฮบรรจงถอดชุดของคนที่อยู่ใต้ร่างให้พ้นตัวร่างเล็กแบบไม่รีบร้อน
มือใหญ่ที่ไล่ปลดเม็ดกระดุมทุกเม็ด
รูดซิปและดึงรั้งอาภรณ์ต่างๆออกทำเอาจงฮยอนใจเต้นแรงในทุกจังหวะการกระทำ จะขัดขืนทั้งร่างกายก็ไม่กล้าไหวติง
จึงได้แต่ปล่อยให้อาภรณ์ทุกชิ้นหลุดล่อนจากร่างกายจนเหลือแค่ผิวกายขาวโพลน
คนด้านบนไล่มองทุกส่วนสรรพางค์กายคนที่เขาเพิ่งปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก
ร่างนั้นเหยียดเกร็งมือข้างนึงปกปิดส่วนสำคัญกลางร่างกายไว้ ส่วนอีกข้างยกขึ้นปิดตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่นอนอยู่คงจะอายไม่น้อย ร่างสูงจ้องมองภาพน่ารักนั้น อยู่นานพร้อมกับระบายยิ้มออกมา น่าเอ็นดูเสียจริง
ความร้อนชื้นที่แตะลงที่ตุ่มไตกะทันหันเล่นเอาจงฮยอนสะดุ้งเฮือก
ลิ้นร้อนชื้นหยอกล้อตุ่มไตนั้นอยู่ครู่นึงแล้วริมฝีปากอุ่นๆจึงจูบซับขึ้นมาเรื่อยๆผ่านกระดูกไหปลาร้า
ลำคอเนียนแล้วมาจบที่ติ่งหู
“พี่ปิดตาไว้ก็ไม่สนุกสิ”
เสียงกระซิบกระเส่าทำให้ขนอ่อนทั่วร่างกายเล็กลุกชัน มือหนาเอื้อมไปคว้ามือข้างที่ปิดตาไว้ออกตรึงแขนข้างนั้นไว้กับที่นอนนุ่ม
ก่อนจะหยัดกายตัวเองขึ้นเพื่อมองสำรวจร่างเลือยเปล่านั้นอีกครั้ง
แล้วจึงวกมาสบตาคนที่นอนจ้องทุกการกระทำของเขาอยู่
“พี่รู้มั้ย ตัวพี่ทั้งเล็กทั้งบางกว่าที่ผมจินตนาการไว้อีกนะครับ”
เสียงนุ่มทุ้มที่ปนไปด้วยตวามต้องการกระเส่าจนจงฮยอนคิดว่าเขาต้องแดงไปทั้งตัวแน่
ตาใสไม่หลุบมองลงต่ำเพื่อหลบหลีกตาคมที่กำลังจ้องเขาด้วยแรงปรารถนา ไม่กล้าสู้สายตาอย่างทุกครั้งด้วยกลัวว่าตัวเองจะโดนเผาไหม้
“เมื่อก่อนผมกระโดดลงทับพี่พี่บอกว่าไม่เจ็บเพราะผมตัวเล็ก แต่ตอนนี้ผมตัวใหญ่กว่าพี่มาก ตอนเรามีเซ็กส์กันถ้าผมทับพี่พี่จะทนไหวรึเปล่า
ถ้าผมหักห้ามตัวเองไม่ได้ทำพี่แรงไป
พี่จะรองรับผมได้ไหม”
แม้จะเหมือนเป็นการบอกตัวเองมากกว่า แต่จงฮยอนไม่ไหวแล้ว
ทำไมมินโฮต้องพูดอะไรอย่างนี้ด้วยนะ ร่างเล็กโน้มคออีกคนลงมาประกบปากเป็นการปิดกั้นถ้อยคำน่าอายพวกนั้น การหยอกล้อกันของเรียวลิ้นเกิดขึ้นเนิ่นนานจนจงฮยอนหอบหนัก ตอนนี้แขนทั้งสองข้างของคนตัวเล็กถูกมือใหญ่รวบไว้ด้านบนหัวด้วยมือเพียงข้างเดียว ริมฝีปากหยุ่นจูบพรมไปทั่วซอกคอขาว
ทั้งยังไม่ลืมที่จะหยอกล้อกับติ่งหูทั้งสองข้างเล่นเอาคนด้านล่างอ่อนระทวยเป็นขี้ผึ้งลนไฟ
ลิ้นสากไล่เลียตามผิวร้อนตั้งแต่ลำคอลงมาก่อนจะหยุดหยอกเย้ากับตุ่มไตที่แข็งเป็นต้อทั้งสองข้าง
สลับกันทั้งดูดทั้งเม้มด้วยชั้นเชิงที่จงฮยอนเทียบไม่ติดแม้ว่าประสบการณ์ทางด้านนี้จะโชกโชนไม่น้อยก็ตาม
มินโฮหยัดการขึ้นมองร่างขาวที่บัดนี้แดงเป็นมะเขือเทศ จังหวะการหายใจแรงๆบวกกับกายที่บิดเร่าไปมา
เรียกความกำหนัดให้พุ่งสูงทะลุเพดาน
ร่างสูงลุกขึ้นถอดกางเกงตัวเองออกอย่างรีบร้อนก่อนจะนั่งลงจับงอเข่าอีกคนขึ้นเผยให้เห็นส่วนสำคัญในร่างกาย
เรียวลิ้นร้อนไล่เลียต้นขาด้านในสลับกับการดูดดุนจนเป็นรอยบนผิวอ่อน
มือข้างหนึ่งก็ส่งไปบีบเค้นตุ่มไตไม่ให้ว่าง ส่วนอีกข้างก็ฟ้อนเฟ้นกับบั้นท้ายนุ่ม ลิ้นร้อนลากเลียมาเรื่อยๆผ่านส่วนปลายของจุดกึงกลางร่างกายที่กำลังตั้งชันด้วยแรงอารมณ์ จนคนที่รองรับการกระทำสะดุ้งเฮือก
แต่ไม่หยุดแค่นั้นในเมื่อมินโฮต้องการแกล้งคนตัวเล็ก
เขาจึงตวัดลิ้นผ่านไปมาเร็วๆจนอีกคนต้องจิกผ้าปูที่นอนบรรเทาความเสียวส่าน แต่ก็ยังไม่หลุดเสียงใดๆออกมาซะที
ผมจะดูว่าพี่จะทนได้เท่าไหร่คิมจงฮยอน
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ……”
มือใหญ่โอบรอบแกนกายร่างเล็กก่อนรูดรั้งขึ้นลงเร็วบ้างช้าบ้างสลับกัน ก่อนจะรัวเร็วจนจงฮยอนเผลอหลุดเสียงน่าอายออกมาจนได้
แล้วจังหวะการรูดรั้งก็หยุดไปเมื่อความต้องการกำลังจะได้รับการปลดปล่อย
ทำเอาจงฮยอนค้างจนมือเล็กต้องรีบคว้าแกนกายตัวเองเพื่อจะสานต่อแต่ก็โดนคนคุมเกมจับกดตึงไว้กับเตียงแทน ซ้ำนิ้วแกร่งยังยกขึ้นมาอุดรูตรงปลายที่มีน้ำใสกำลังไหลออกมาจนจงฮยอนต้องบิดเร่าด้วยความทรมาน
“ยะ หยุดทำไม”
เสียงแหบพร่าถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่กลับได้รับรอยยิ้มทะเล้นกลับมาแทน
เขาทรมานจะตายอยู่แล้วเล่นอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลา
ริมฝีปากหยุ่นจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปากอิ่มโดยไม่มีการล้วงล้ำใดๆ ก่อนที่โพรงปากร้อนจะใช้ครอบครองแกนกายขนาดพอดีไว้
ความอุ่นร้อนและจังหวะการรูดรั้งปรนเปรอจงฮยอนได้มากกว่าผู้หญิงคนไหนไหนที่เคยทำให้เขาจนเก็บกักเสียงหวานต่อไปไม่ไหว
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อา
อ๊ะ อ๊ะ ………….อ่าห์.”
เสียงหวานครางลั่นไปตามจังหวะการปรนเปรอ
มินโฮรู้สึกพอใจกับผลงานครั้งนี้เป็นอย่างมาก
ร่างสูงเร่งจังหวะโดยมีมีเล็กทั้งสองข้างจิกรั้งเส้นผมนุ่มไว้
แม้จะรู้สึกเจ็บแต่มินโฮก็ไม่สนใจจนสุดท้ายร่างเล็กทนไม่ไหวจึงปลดปล่อยน้ำรักออกมาเต็มปากเขา
มินโฮถ่มน้ำนั้นออกมาใส่มือข้างนึงแล้วนำไปป่ายที่ช่องทางด้านหลังของอีกคนพร้อมกับเลื่อนกายขึ้นมาประกบจูบคนที่กำลังโกยอากาศเข้าปอดอยู่ รสชาติเฝื่อนๆ
คาวๆที่ส่งเข้ามามันไม่น่าพิศมัยเลยสักนิดสำหรับจงฮยอน
แม้จะอยากผลักใสอีกคนออกแต่มือหนากลับกดท้ายทอยของเขาให้ประกบจูบแน่นขึ้น
จนเป็นเขาเองที่ต้องจำใจยอมรับรสชาตแปลกใหม่นั้นเข้ามาและกลืนลงท้องไป
“เป็นไง
หวานดีมั้ยครับ”
“หวะ”
ยังไม่ทันที่จะตอบด้วยซ้ำ คนด้านบนก็ประกบปากลงมาอีกแล้ว
หวานบ้าหวานบออะไรกัน
แม้จะเป็นของตัวเองก็เถอะแต่จงฮยอนก็อดรังเกียจไม่ได้ ไม่รู้ว่ามินโฮอมมันได้ยังไง
จูบครั้งนี้ดูร้อนแรงกว่าทุกครั้งจนจงฮยอนแทบสิ้นเรี่ยวแรง แขนเรียวถูกส่งขึ้นมาโอบรอบคออีกฝ่าย
ในขณะที่มินโฮเองเมื่อเห็นว่าเริ่มเบี่ยงเบนความสนใจของคนตัวเล็กได้แล้ว
ก็ถึงเวลาส่งนิ้วเรียวยาวเข้าไปในช่องทางคับแคบหลังจากที่นวดวนรอบอยู่นาน
“อื้อออออ”
เพียงแค่เริ่มชำแรกนิ้วมาเท่านั้นจงฮยอนก็เรื่มรู้สึกตัว ร่างบางพยามยามส่งเสียงประท้วงแต่ก็ติดที่อีกคนยังกดท้ายทอยไว้แน่นจึงไม่อาจร้องออกมาได้ กายเล็กถดหนีสิ่งแปลกปลอมขึ้นไปแต่ติดที่ถูกเกาะกุมไว้แน่นเหลือเกินจึงหนีไม่พ้นแล้วถูกนิ้วนั้นชำแรกเข้ามาจนสุด
“เจ็บนะโว้ย เอาออกไปเลยนะ”
ร้องประท้วงออกมาทันทีเมื่อปากเป็นอิสระ
“โอ๊ยย อ่ะ”
มินโฮจูบซับไปตามหน้าผากชื้นเหงื่อของคนตัวเล็กเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดให้อีกคน
ซ้ำยังขยับเข้าออกเป็นจังหวะและเพิ่มจำนวนนิ้วขึ้นไปอีก
การบีบรัดของช่องทางแคบป็นปัญหาในการขยับของเรียวนิ้วมาก แต่มินโฮก็ต้องฝืน
แม้รู้ว่าอีกคนจะเจ็บก็ตาม
แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้ว ตอนที่เจอของจริงจงฮยอนคงจะไม่ไหว
“อ๊ะ”
เหมือนปลายนิ้วของมินโฮจะไปโดนจุดสำคัญของร่างเล็กจนเสียงหวานต้องครางออกมา
นิ้วแกร่งลองกดย้ำๆที่จุดนั้นซึ่งก็ได้รับเสียงหวานตอบมาทุกครั้ง จนแน่ใจนิ้วแกร่งจึงถอนออกมาจากช่องทางแคบนั้น
แกนกายใหญ่ที่ผงาดตัวเต็มที่ถูกนำไปจ่อช่องทางที่บวมช้ำจากการระรานก่อนหน้า
หมุนส่วนปลายคลึงเบาๆก่อนจะส่งเข้าไปในช่องทางแคบ แค่สวนหัวเท่านั้น แต่กลับบีบรัดดีเหลือเกิน
มินโฮรู้สึกว่าแรงบีบรัดมันมากกว่าที่กระทำกับนิ้วเขาซะอีกถึงแม้ว่าตอนส่งนิ้วเข้าไปจะแทบขยับไม่ได้ก็เถอะ
“คนดีครับ
ผ่อนคลายนะ”
สอดลิ้นเข้าไปที่รูหูเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจพร้อมขยับสะโพกเพื่อสอดใส่ส่วนนั้นให้เข้าไปลึกยิ่งขึ้น
“โอ้ยย มะ ไม่ไหว
เอาออกไป”
เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาด้วยความยากลำบาก ใบหน้าเรียวบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
พร้อมกับสะโพกเล็กที่พยายามถอยออกให้หลุดจากการเชื่อมประสาน
“โอ้ยยย”
มินโฮดันแกนกายใหญ่เข้ามาจนสุดในรอบเดียว
ไม่มีทางซะหรอกมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่ยอมเอาออกง่ายๆหรอก แรงบบหนักๆจากช่องทางแคบ
รัดจนแกนกายใหญปวดหนึบ
มินโฮแช่คาแกนกายไว้พักนึงเพื่อให้คนรองรับได้ปรับตัวก่อนเริ่มขยับสะโพกเบาๆแม้ว่าการบีบรัดที่คลายลงจะยังคงแน่นอยู่ก็ตาม แต่เขาทรมานจนรอไม่ไหวแล้ว
“โอ๊ยยย เอา มะอ่ะ
มันออกไป”
เสียงประท้วงยังมีมาเรื่อยๆ จงฮยอนกัดริมฝีปากเองเป็นการบรรเทาความเจ็บ
มือเล็กกำแน่นเข้าหากันจนมินโฮต้องดึงเอามือทั้งสองข้างมาวางแปะที่แผ่นหลังตัวเอง
“ถ้าเจ็บมาก
ก็ข่วนแรงๆ อย่าทำร้ายตัวเอง”
เพราะที่ผมทำมันก็มากพอแล้ว
กายหนาโน้มลงประกบปากคนข้างใต้เพื่อไม่ให้จงฮยอนต้องกัดตัวเองจนเลือดออกพร้อมกับการขยับการในจังหวะที่นักหน่วงขึ้น
“อื้อ อึ๊ อือ อือ
อือ “
มินโฮรู้สึกแสบๆบนแผ่นหลังในทุกการขยับของเขา แต่ความเสียวซ่านที่ได้จากแรงบีบรัดมีมากกว่า ริมฝีปากผละออกจากกันแล้วมินโฮจึงเลื่อนมาปรนเปรอติ่งไตทั้งสองข้างแทน
ซึ่งได้ผลเมื่อพบว่าเสียงครางเริ่มเปลี่ยนจากครางแบบเจ็บปวดมาครางแบบเสียวกระสันแทน
“อ๊ะ ตรงนั้น”
“หือ”
มินโฮกระแทกเข้าไปยังจุดเดิมที่เรียกเสียงครางลั่นนั้นให้ดังขึ้น
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ………..”
กายหนาหยัดตัวขึ้น
สองมือใหญ่จับเอวคอดกระแทกรัวแรงตรงจุดกระสันนั้นจนอีกคนครางไม่เป็นภาษา
แกนกายของร่างเล็กที่ปลดปล่อยออกไปแล้วครั้งนึงชูชันขึ้นมาและปริ่มน้ำจวนจะปลดปล่อยอีกรอบ
มือใหญ่ส่งไปช่วยเร่งเร้าแกนกายนั้นพร้อมกับแรงกระแทกหนักหน่วง
“อ๊ะ อ๊ะ มิน อ๊ะ อาห์”
จงฮยอนปลดปล่อยออกมาอีกรอบ
จนเต็มหน้าท้องบางและมีบางส่วนกระเด็นไหลมาจนถึงใบหน้าของเขา
มินโฮไล่เลียหยดน้ำสีขุ่นที่เปรอะตามหน้าคนตัวเล็กจนเกลี้ยงก่อนจะเร่งเร้าจังหวะกระแทกอีกครั้ง
สะโพกสอบขยับเข้าออกรุนแรงและถี่กระชั้นขึ้นตามจุดมายที่ใกล้เข้ามา
เสียงครางสนั่นของจงฮยอนกระตุ้นให้มินโฮเร่งเร้าจังหวะมากขึ้น
จนในที่สุดธารสีขุ่นก็พุ่งเข้าไปในช่องทางของคนตัวเล็ก หน้าท้องบางกระตุกเกร็งเป็นระรอกเมื่อรับรู้ถึงความอุ่นวาบในช่องท้อง
ปลายส่วนหัวของแกนกายใหญ่กระตุกช้าๆสองสามครั้งเพื่อปลดปล่อยออกมาให้หมด
ก่อนที่เจ้าของจะดึงชักมันออกมาจากช่องทางแสนช้ำ
น้ำขาวข้น
ปนด้วยสีชมพูจางๆไหลออกมาจากช่องทางเล็กที่เป็นรูกลวงโบ๋จากความใหญโตจองแกนกายร่างสูง
มินโฮส่งนิ้วเข้าไปสำรวจนช่องทางนั้นอย่างนึกแกล้งคนที่นอนหอบอยู่ โดยช่องนางนั้นรีบรัดนิ้วเขาทันที
“อื้ออ ไม่เอา เจ็บ จะนอน”
ครางหงิงๆเชียว
ถ้ารู้ว่าอาฟเตอร์เซ็กส์จะน่ารักขนาดนี้
เขาคงทาบทามไปนานแล้ว
“เอาออกให้นะครับ
เดี๋ยวจะนอนไม่สบาย”
เหมือนว่าความเหนื่อยล้าสะสมบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์จะทำให้อีกคนหลับไปแล้ว มินโฮจัดการทำความสะอาดให้ทั้งกับตัวเขาเองและคนหลับก่อนจะล้มตัวลงนอนกอดคนตัวเล็กไว้
“ฝันดีครับ”
จูบแผ่วเบาประทับบนหน้าผากมน
พร้อมกอดกระชับร่างที่หลับไหลเข้าแนบอกก่อนเข้าสู่ห้วงนิทราตามอีกคนไป
แสงแดดอุ่นๆที่ลอดผ่านผ้าม่านบางเข้ามาปลุกให้คนขี้เซาลุกจากการหลับไหล ความเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันทีเมื่อร่างกายขยับเขยื่อน จนจงฮยอนต้องหยุดการเคลื่อนไหว
ความทรงจำเมื่อคืนที่ผ่านมาไหลผ่านสมองจนใบหน้าอดเห่อร้อนไม่ได้ ทั้งเสียงกระซิบแหบพร่าหลายต่อหลายครั้ง
เสียงครางกระเส่าที่ปะปนกันจงฮยอนจำมันได้ทั้งหมด
บ้าเอ้ย
ทำไมต้องมาทำเรื่องอย่างนี้กับผู้ชายด้วยกันด้วยนะ
ร่างเล็กฝืนตัวพากายบางเดินเข้าไปชำระร่างกายที่ห้องน้ำ
แม้จะรู้สึกเจ็บเสียดอยู่บ้างตามจังหวะการเดิน แต่ก็ไม่ได้เจ็บจนเกินฝืน
เสื้อเชิ๊ตตัวยาวของมินโฮกับบ๊อกเซอร์ถูกรื้อมาใส่โดยการถือวิสาสะ
ในเมื่อเสื้อผ้าของเขาเหม็นอ้วกขนาดนั้นคงใส่ต่อไม่ไหวหรอก
จงฮยอนซักชุดของตัวเองโดยใช้น้ำกับสบู่เหลวแทนเพราะห้องของมินโฮไม่มีผงซักฟอกเลย แม้จะใช้ไปเกือบหมดขวดก็เถอะ ยังไงก็ดีกว่าไม่ได้ซัก ทีนี้ก็เหลือแค่รอให้ผ้าแห้ง เขาคงออกไปจากที่นี่ได้
ร่างเล็กที่ขดกลมอยู่ในผ้าห่มผืนหนาเรียกรอยยิ้มอ่อนโยนจากเจ้าของห้องที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา มินโฮกดปิดรายการทีวีที่เปิดไว้โดยคนดูมันหลับไปแล้ว
นิ้วเรียวยาวเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาปรกหนาผากบางเบา จากที่รู้สึกแค่สนใจ
ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองรักพี่ชายคนนี้เข้าแล้วล่ะ
ร่างกายบอบบางนี้เหมาะจะเป็นผู้ได้รับการดูแลมากกว่าดูแลคนอื่น และตอนนี้มินโฮพร้อมที่จะดูแลคนคนนี้
“อื้อออ มะ มินโฮ”
กายเล็กกระชับผ้าห่มให้ปกปิดร่างกายมากขึ้นไปอีกเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงลำพังเสียแล้ว มินโฮมองท่าทางน่ารักๆนั้น อดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ เห็นหมดแล้วจะมาอายอะไรตอนนี้คร้าบบบ
“เหนื่อยสินะครับ
ก็เล่นพาร่างขาวๆบิดเร่าๆในหัวผมทั้งวันนี่”
“ประสาท”
มินโฮหัวเราะลั่นกับคำด่านั้นเล่นเอาคนด่าฉุนไม่เบา
“หลีก”
ร่างกลมๆเพราะปกคลุมด้วยผ้าห่มหนากระแทกคนที่นั่งหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายให้เปิดทางให้ตัวเองออกไป
“พี่เอาผ้าห่มออกเถอะมันเดินลำบากนะ”
“ยุ่ง”
“ผมยังไม่ทำอะไรพี่ตอนนี่เหรอกน่า
” มินโฮตะโกนไล่หลังคนที่เดินอย่างทุลักทุเลออกไป ใบหน้าคมประดับด้วยรอยยิ้มไม่ขาด
ทำไมน่ารักขนาดนี้นะ
“ทำอะไรน่ะ” ใบหน้าเล็กชะโงกข้ามเค้าเตอร์บาร์เข้ามาเมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างกำลังขมักเขม้นกับการจัดการถงต่างๆที่วางบนโต๊ะในครัวเล็กๆ
“กำลังจะโชว์เสน่ห์ปลายจวักอวดเมียครับ”
ร่างสูงในชุดผ้ากันเปื้อนสีทึมหันมาขยิบตาให้อีกฝ่ายซึ่งได้รับการเบะปากตอบกลับมา
“ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ
ไม่น่าเชื่อ”
ร่างเล็กๆออกมายืนข้างเขาแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้พลางเปิดดูวัตถุดิบตามถุงต่างๆ
“ผมอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กนี่ครับ”
“อือ ฮึ” จงฮยอนพยักหน้าเป็นการรับรู้
“แล้วพี่ล่ะ”
“ชั้นเหรอ
ถ้าไม่เปิดอู่ก็ว่าจะเปิดร้านอาหารแหละ 5555555”
“เปล่า เปลี่ยนชุดทำไม ใส่แบบเดิมดีแล้ว”
กำปั้นหนักๆชกเข้าที่ต้นแขนแกร่งทีนึงด้วยความหมั่นไส้ นี่แสดงว่าฉวยโอกาสตอนเขาหลับอีกแล้วสิ ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์
“กางเกงนายมันมีตัวสั้นกว่านี้มั้ยเนี่ย เกะกะชะมัด”
หลังจากเคลื่อนไหวเพื่อหยิบนั่นจับนี่ช่วยคนตัวสูง
จงฮยอนรู้สึกว่ากางเกงที่เขาใส่มันทั้งหลวมและยาวจนเขาต้องจับไว้หลายครั้งด้วยกลัวว่ามันจะหลุด
“ถอดออกสิครับ จะได้ไม่เกะกะทั้งกับพี่และสายตาผมด้วย”
หยอดได้หยอดดี
รู้สึกว่าตั้งแต่ทำอาหารมานี่เขาโดนมาหลายดอกแล้วนะ
ไม่เคยนึกเลยว่าไอ้ท่าทางขรึมๆเงียบๆมันจะเป็นแค่การฉาบเคลือบความกะล่อนไว้ หยอดมาสิ หยอดมาก็เขินแม่ง ทำอะไรไม่ได้นี่
“เมื่อไหร่จะแห้งว่ะเนี่ย”
จงฮยอนบ่นกะปอดกะแปดเดินกลับเข้ามาสู่ภายในห้องหลังจากที่ออกไปคลำๆผ้าที่ตากไว้ที่ระเบียง
“มันหน้าหนาว ผ้าก็แห้งช้าเป็นธรรมดาอยู่แล้วนี่” มินโฮพูดขึ้นเมื่ออีกคนกระแทกตัวนั่งข้างๆ
“นี่มันเพิ่งบ่ายสามเอง
บอสัดเจ๊งเหรอทำไมมาไว” โห นั่นปากนะ
“คิดถึงเมียครับ เลยลาบ่าย
อีกอย่างถ้าเจ๊งก็จะเกาะเมียกินครับเมียมีกิจการ”
ปากอิ่มเบะแรงๆตอบกลับไป ต่อปากต่อคำไปก็เท่านั้นสู้ไม่ได้
“ผมเป็นห่วงพี่ไง
เลยมาดู ยาที่วางให้ไว้กินไปยัง”
พูดพลางลูบผมสีอ่อนเบาๆ
สายตาอ่อนโยนที่ส่งมาทำเอาจงฮยอนอุ่น ไปทั้งหัวใจ หัวกลมพยักหน้าหงึกหงัก มินโฮเหมือนรู้ล่วงหน้าเมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็ตัวรุมๆ ถ้าไม่ได้ยาที่ร่างสูงเตรียมไว้ให้ จงฮยอนต้องไม่สบายแน่
เกิดความเงียบปกคลุมขึ้นมาทันทีระหว่างสองคนหลังจากที่มินโฮพูดจบ
ร่างเล็กก้มหน้าก้มตาไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมองอีกคน ไม่กล้าสบสายตาจริงจังนั้น ด้วยกลัวว่าตัวเองจะเปลี่ยนไป จะหวั่นไหวและคิดกับอีกคนเกินกว่าน้องชาย
“พี่โกรธไหมครับที่ผมทำกับพี่แบบนี้
ที่ผมฉวยโอกาสตอนที่พี่กำลังอ่อนแอ”
เป็นร่างสูงที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น มือแกร่งเชยคางคนที่ก้มจนหน้าชิดออกให้เงยขึ้นมาสบตากัน
จงฮยอนหันหน้าหนีไม่กล้าสู้สายตาคมที่ส่งมา
เพราะกลัวว่าอีกคนจะเห็นความหวั่นไหวในแววตาของตน ก่อนตอบออกไปเสียงอ้อมแอ้ม
“โกรธไม่ได้หรอก ในเมื่อเราก็เต็มใจกันทั้งสองฝ่าย”
รอยยิ้มเผยขึ้นจากคนที่รอคำตอบ
มินโฮคว้าร่างเล็กๆเข้าแนบอก
จงฮยอนผวาปลิวไปตามแรงเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว
“แต่อย่าเรียกชั้นว่าเมียได้ป่ะขอร้อง”
“ทำไมล่ะครับ”
ถามออกไปเสียงเศร้า
“ก็โว้ยยย คนเคยเป็นผัวมาทั้งชีวิตอยู่ๆมาโดนเด็กที่ไหนไม่รู้เรียกเมีย
เมีย เมีย อยู่นั่นแหละ
คนมันยังทำใจไม่ได้โว้ยยย”
“ยังไงก็ขอเวลาพี่ทำใจหน่อยนะ”
ปากอิ่มจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปากร่างสูง
ก่อนผลักอีกคนออกแล้วลุกเดินหนีไป
มันหมายความว่าอะไร
มันหมายความว่าพี่จงอยอนให้โอกาสให้เขาดูแลแล้วใช่ไหม
ให้โอกาสเขาเข้ามาเติมเต็มอีกครึ่งของชิวิตแล้วใช่ไหม
ให้ตายสิมินโฮไม่เคยดีใจกับอะไรจนแทบอยากกรีดร้องออกมาดังๆแบบนี้มาก่อนเลย
“พี่ครับ ทำอะไรไว้กลับมารับผิดชอบผมเลยนะ จงฮยอนฮยอง”
“ผมให้พี่ครับ
หวังว่ามันคงไม่นานจนผมขาดใจไปก่อนนะครับ
โรมิโอ จูงมือพาจูเลียตออกไปสู่โลกภายกว้าง สอนให้จูเลียตได้รู้จักความรัก
ทั้งสองช่วยกันดูแลความรักให้เติบโตไปจนโตเต้มในใจ เด็กชายตัวเล็ก
ได้เข้ามาในชีวิตของเด็กชายอีกคนพร้อมกับทำให้โลกสีเดียวของเขามีหลากสีสันมากขึ้น
เป็นแรงบันดาลใจให้เด็กชายคนนั้นกล้าที่จะดำเนินชีวิตในทางที่แตกต่างจากแบบแผนเดิม
ถ้าจงฮยอนคือโรมิโอ
และมินโฮเป็นจูเลียต
คงไม่แปลกที่จูเลียต จะขอตอบแทนโรมิโอทุกอย่างด้วยการโอบกอดอีกฝ่ายไว้ดูแลโรมิโอแทนที่จะให้โรมิโอเป็นฝ่ายดูแล แม้โรมิโอกับจูเลียตเวอร์ชั่นนี้จะสลับบทบาทหน้าที่กัน แต่ทุกคนคงรู้ดีนะว่า รักของโรมิโอกับจูเลียตนั้น เป็นรักนิรันดร์
FIN
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น